วันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2564

พญาครุฑ

ครุฑ (สันสกฤต: गरुड) เป็นสัตว์ในนิยายในประมวลเรื่องปรัมปราฮินดูและปรากฏในวรรณคดีสำคัญหลายเรื่อง เช่น มหาภารตะ เล่าว่า ครุฑเป็นพี่น้องกับนาคและทะเลาะกันจนเป็นศัตรู นอกจากนี้ ยังมีปุราณะที่ชื่อว่า ครุฑปุราณะ เป็นเรื่องเล่าพญาครุฑ ตามคติไทยโบราณ เชื่อว่าครุฑเป็นพญาแห่งนกทั้งมวล และเป็นพาหนะของพระวิษณุ ปกติอาศัยอยู่ที่วิมานฉิมพลี มีรูปเป็นครึ่งคนครึ่งนกอินทรี ได้รับพรให้เป็นอมตะ ไม่มีอาวุธใดทำลายลงได้ แม้กระทั่งสายฟ้าของพระอินทร์ก็ได้แต่เพียงทำให้ขนของครุฑหลุดร่วงลงมาเพียงเส้นหนึ่งเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ครุฑจึงมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า "สุบรรณ" ซึ่งหมายถึง "ขนวิเศษ" ครุฑเป็นสัตว์ใหญ่ มีอานุภาพและพละกำลังมหาศาล แข็งแรง บินได้รวดเร็ว มีสติปัญญาเฉียบแหลม อ่อนน้อมถ่อมตน และมีสัมมาคารวะ ครุฑจะแบ่งได้ 5 ประเภทคือ ตัวเป็นคนอย่างธรรมดาทั่ว ๆ ไป แต่มีปีก ตัวเป็นคน หัวเป็นนก ตัวเป็นคน หัวและขาเป็นนก ตัวเป็นนก หัวเป็นคน รูปร่างเหมือนนกทั้งตัว เทพปกรณัมของครุฑในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เล่าว่าครุฑเป็นบุตรของพระกัศยปมุนีเทพบิดร และนางวินตา พระกัศยปมุนีองค์นี้เป็นฤษีที่มีฤทธิ์เดชมากองค์หนึ่ง และเป็นผู้ให้กำเนิดเทพอีกหลายองค์ในศาสนาพราหมณ์ พระองค์มีชายาหลายองค์ แต่องค์ที่เกี่ยวข้องกับครุฑนั้น นอกจากนางวินตาแล้ว ยังมีอีกองค์หนึ่งคือ นางกัทรุ ซึ่งเป็นพี่น้องกับนางวินตาและเป็นมารดาของนาคทั้งปวง ทั้งสองนางได้ขอพรให้กำเนิดบุตรจากพระกัศยป โดยนางกัทรุได้ขอพรว่าขอให้มีบุตรจำนวนมาก ซึ่งต่อมาก็ได้ให้กำเนิดนาคหนึ่งพันตัว อาศัยอยู่ในแดนบาดาล ส่วนนางวินตาขอบุตรเพียงสององค์และขอให้ลูกมีอำนาจวาสนา เมื่อนางคลอดบุตรปรากฏว่าออกมาเป็นไข่สองฟอง นางรออยู่เป็นเวลา 500 ปี ไข่ก็ยังไม่ฟัก นางทนรอไม่ไหวว่าบุตรของตนจะมีหน้าตาอย่างไร จึงทุบไข่ออกมาฟองหนึ่ง ปรากฏว่าเป็นเทพบุตรที่มีกายแค่ครึ่งท่อนบนชื่อ อรุณ อรุณเทพบุตรโกรธมารดาของตนที่ทำให้ตนออกจากใข่ก่อนกำหนด จึงสาปให้มารดาของตนเป็นทาสนางกัทรุ และให้บุตรคนที่สองของนางเป็นผู้ช่วยนางให้พ้นจากความเป็นทาส จากนั้นจึงขึ้นไปเป็นสารถีให้กับพระอาทิตย์หรือสุริยเทพ นางวินตาจึงไม่กล้าทุบไข่ฟองที่สองออกมาดู นางรอต่อไปอีก 1000 ปี รอให้ถึงกำหนดที่บุตรคนที่สองซึ่งก็คือพญาครุฑออกมาจากไข่เอง อนึ่ง เมื่อพญาครุฑแรกเกิดว่ากันว่า มีร่างกายขยายตัวออกใหญ่โตจนจรดฟ้า ดวงตาเมื่อกะพริบเหมือนฟ้าแลบ เวลาขยับปีกทีใด ขุนเขาก็จะตกใจหนีหายไปพร้อมพระพาย รัศมีที่พวยพุ่งออกจากกายมีลักษณะดั่งไฟไหม้ทั่วสี่ทิศ ซึ่งทำให้บรรดาเทวดาทั้งหลายเดือดร้อนอย่างมาก บรรดาเทวดาจึงพากันไปขอร้อง ให้ลดขนาดลงมา ในกาลต่อมา นางกัทรุและนางวินตาได้พนันกันถึงสีของม้าอุไฉศรพที่เกิดคราวกวนเกษียรสมุทรและเป็นสมบัติของพระอินทร์ โดยพนันว่าใครแพ้ต้องเป็นทาสอีกฝ่ายห้าร้อยปี นางวินตาทายว่าม้าสีขาวส่วนนางกัทรุทายว่าสีดำ ความจริงม้าเป็นสีขาวดังที่นางวินตาทาย แต่นางกัทรุใช้อุบายให้นาคลูกของตนแปลงเป็นขนสีดำไปแซมอยู่เต็มตัวม้า (บางตำนานว่าให้นาคพ่นพิษใส่ม้าจนเป็นสีดำ) นางวินตาไม่ทราบในอุบายเลยยอมแพ้ ต้องเป็นทาสของนางกัทรุถึงห้าร้อยปี ภายหลังเมื่อครุฑได้ทราบสาเหตุที่มารดาต้องตกเป็นทาสและได้ทราบเงื่อนไขจากพวกนาคว่า ต้องไปเอาน้ำอมฤตให้นาคเสียก่อนจึงจะให้นางวินตาเป็นไท ครุฑจึงบินไปสวรรค์ไปเอาน้ำอมฤตซึ่งอยู่กับพระจันทร์ แล้วคว้าพระจันทร์มาซ่อนไว้ใต้ปีก แต่ถูกพระอินทร์และทวยเทพติดตามมา และเกิดต่อสู้กันขึ้น ฝ่ายเทวดานั้นไม่อาจเอาชนะได้ โดยเมื่อพระอินทร์ใช้วัชระโจมตีครุฑนั้น ครุฑไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย แต่ครุฑก็จำได้ว่าวัชระเป็นอาวุธที่พระอิศวรประทานให้แก่พระอินทร์ จึงสลัดขนของตนให้หล่นลงไปเส้นหนึ่งเพื่อแสดงความเคารพต่อวัชระและรักษาเกียรติของพระอินทร์ผู้ป็นหัวหน้าของเหล่าเทพ ด้านพระวิษณุหรือพระนารายณ์ก็ได้ออกมาขวางครุฑไว้และสู้รบพญาครุฑด้วยเช่นกัน แต่ต่างฝ่ายต่างไม่อาจเอาชนะกันได้ ทั้งสองจึงทำความตกลงยุติศึกต่อกัน โดยพระวิษณุให้พรแก่ครุฑว่าจะให้ครุฑเป็นอมตะและให้อยู่ตำแหน่งสูงกว่าพระองค์ ส่วนครุฑก็ถวายสัญญาว่าจะเป็นพาหนะของพระวิษณุ และเป็นธงครุฑพ่าห์สำหรับปักอยู่บนรถศึกของพระวิษณุอันเป็นที่สูงกว่า เมื่อครุฑได้หม้อน้ำอมฤตนั้น พระอินทร์ได้ตามมาขอคืน ครุฑก็บอกว่าตนต้องรักษาสัตย์ที่จะนำไปให้นาคเพื่อไถ่มารดาให้พ้นจากการเป็นทาส และให้พระอินทร์ตามไปเอาคืนเอง ครุฑจึงเอาน้ำอมฤตไปให้นาคโดยวางไว้บนหญ้าคา (และว่าได้ทำน้ำอมฤตหยดบนหญ้าคา 2-3 หยด ด้วยเหตุนี้ หญ้าคาจึงถือเป็นสิ่งมงคลในทางศาสนาพราหมณ์) ส่วนนาคเมื่อเห็นน้ำอมฤตก็ยินดี จึงยอมปล่อยนางวินตาแม่ครุฑให้เป็นอิสระ ขณะพากันไปสรงน้ำชำระกายเพื่อจะมากินน้ำอมฤตนั่นเอง พระอินทร์ก็นำหม้อน้ำอมฤตกลับไป ทำให้นาคไม่ได้กิน พวกนาคจึงเลียที่ใบหญ้าคาด้วยเชื่อว่าอาจมีหยดน้ำอมฤตหลงเหลืออยู่ ทำให้ใบหญ้าคาบาดกลางลิ้นเป็นทางยาว (เรื่องนี้กลายเป็นที่มาว่าทำไมงูจึงมีลิ้นเป็นสองแฉกสืบมาจนทุกวันนี้) แต่นั้นครุฑกับนาคจึงเป็นศัตรูกันมาโดยตลอด และครุฑนั้นก็จะจับนาคกินเป็นอาหารเสมอ ครุฑมีชายาชื่ออุนนติหรือวินายกา โอรสชื่อ สัมปาติหรือสัมพาที และชฎายุหรือสดายุ ตามวรรณคดีพุทธศาสนากล่าวว่าครุฑมีขนาดใหญ่มาก วัดจากปีกข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่งได้ 150 โยชน์ เวลากระพือปีกสามารถทำให้เกิดพายุใหญ่ เกิดมืดมนและทำลายบ้านเมืองให้หมดสิ้นไปได้ ที่อยู่ของครุฑเรียกว่า สุบรรณพิภพเป็นวิมานอยู่บนต้นสิมพลีหรือต้นงิ้ว อยู่เชิงเขาพระสุเมรุ ที่มาวิกิพีเดียสารานุกรมเสรี ภาพจากอินเตอร์เน็ต

วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2564

ทรพี

ที่มาของคำว่า "ลูกทรพี" และ "วัดรอยเท้า" เรื่องเดิมมีอยู่ว่า มียักษ์ตนหนึ่งชื่อว่า "นนทกาล" มีหน้าที่เฝ้ากำแพงประตูชั้นในรับใช้พระอิศวร วันหนึ่งเกิดไปตกหลุมรักนางอัปสร ชื่อว่า "มาลี" แต่ทว่าเธอไม่ยอมเล่นด้วย แถมยังไปฟ้องพระอิศวร พระอิศวรจึงสาปให้นนทกาลไปเกิดเป็นกระบือเผือก ชื่อ "ทรพา" และจะพ้นคำสาปกลับมาทำหน้าที่เดิม เมื่อมีลูกชายชื่อ "ทรพี" ซึ่งจะเกิดมาเพื่อฆ่าพ่อตัวเอง นนทกาลไปเกิดเป็นกระบือชื่อ "ทรพา" ตามคำสาปของพระอิศวร เมื่อโตขึ้นก็ได้เป็นจ่าฝูง คอยควบคุมกระบือสาวๆ เมื่อมีลูกตัวผู้ ทรพาซึ่งจำคำสาปได้ ก็จะขวิดลูกตัวผู้ให้ตายทุกตัว และแล้ว ทรพา ก็ได้พบรักกับนางสาวกระบือชื่อว่า "นีลา" จนนีลาตั้งท้องใกล้จะตกลูก นางกลัวว่าถ้าลูกเกิดมาเป็นตัวผู้ก็จะถูกพ่อฆ่าตายอีก นางจึงหนีไปอยู่ในถ้ำสุรกานต์ และตกลูกมา 1 ตัว เป็นเพศผู้ มีชื่อว่า "ทรพี" (ใครตั้งชื่อให้ก็ลืมไปเสียแล้ว) แล้วนางก็อธิษฐานฝากเทพารักษ์ในถ้ำ ให้ช่วยเลี้ยงดูให้ด้วย (เทพารักษ์ก็แสนดี ช่วยดูแลรักษาโดยสิงสถิตยที่เขาทั้งสองข้างและขาทั้งสี่) เนื่องจากกลัวว่าถ้าทรพาทราบจะจับฆ่าเสีย เพราะว่าลูกตัวผู้ก่อนหน้านี้ทุกตัวถูกทรพาฆ่าตายหมด เมื่อทรพีเติบใหญ่ก็ออกเดินทางตามหารอยเท้าพ่อ เมื่อพบก็จะคอยวัด(ขนาด)รอยเท้าอยู่เสมอ จนวันหนึ่งพบรอยเท้ามีขนาดใหญ่เท่ากันแล้ว จึงได้ตามหาทรพา (เคยฟังจากเรื่องเล่าว่าทรพีได้ดักรอทรพาขณะกลับจากนำขบวนฝูงไปหากิน โดยยืนดักหน้าเลย) และได้เกิดการต่อสู้กันขึ้น ทรพากระบือแก่หรือจะสู้แรงกระบือหนุ่มทรพีได้ ทรพีจึงขวิตทรพาตาย สมตังคำสาปของพระอิศวร นี่คือที่มาของคำว่า "ลูกทรพี" ครับ หมายถึง ลูกที่ฆ่าพ่อ (แม่) ซึ่งจัดเป็นครุกรรมหรือกรรมหนัก ต้องตกนรกชั้นอเวจีมหานรก ในชาติที่ต่อจากชาตินี้แน่นอน (สำนวนไทย ลูกทรพี หมายถึงลูกที่ไม่รู้คุณบิดา-มารดาด้วย).....เรื่องก็จบเพียงเท่านี้นะครับ..... เมื่อทรพีฆ่าทรพาตายแล้ว ก็ได้ควบคุมฝูงกระบือต่อไป และทำให้ทรพีมีความเหิมเกริมเป็นอย่างมาก เที่ยวท้าเจ้าป่าเจ้าเขา และเทวดาทั้งหลายสู้รบ เหล่าเทวดาจึงบอกให้ไปท้าพระอิศวรที่เขาไกรลาส พระอิศวรทรงพระพิโรธ ตรัสบริภาษแล้วบอกให้ไปท้ารบกับพญาพาลีผู้ครองนครขีดขิน และสาปว่าให้ทรพีตายด้วยน้ำมือของพญาวานร (เมื่อตายแล้วให้ไปเกิดเป็นมังกรกัณฐ์ โอรสพญาขรผู้เป็นน้องของทศกัณฐ์ และให้ตายด้วยศรของพระราม) ทรพีบุกเข้าถึงหน้าพระลานท้าพาลีรบ พาลีสู้รบกับทรพีตั้งแต่เช้าจรดเย็นก็ยังไม่สามารถเอาชนะได้ จึงคิดว่าหากรบกันในที่โล่งคงยากที่จะเอาชนะได้ จึงออกอุบายให้ไปสู้รบกันที่ถ้ำสุรกานต์ ถ้าใครแพ้จะได้ไม่อายแก่เทวดา พาลีกลับเข้าเมืองสั่งเสียสุครีพน้องชายว่า “ถ้าภายใน 7 วัน พี่ยังไม่ออกมาจากถ้ำให้เจ้ารีบตามเข้าไปดู หากเห็นเลือดใสๆ ไหลออกมาแสดงว่าเป็นเลือดของพี่ ให้เจ้าปิดปากถ้ำขังเจ้าทรพีทันที แต่ถ้าเลือดเป็นสีข้น แสดงว่าทรพีถูกพี่ฆ่าตายเรียบร้อยแล้ว” พาลีสู้กับทรพีอยู่ 7 วันก็ยังไม่ปรากฏผลแพ้ชนะ คิดว่าควายตัวนี้น่าจะมีเทวดาคอยช่วย จึงออกอุบายถามทรพีว่า “เอ็งมีเทวดาคอยคุ้มครองอยู่หรืออย่างไร ถึงได้มีอิทธิฤทธิ์มากมายนัก” ทรพีตะโกนกลับอย่างลำพองว่า “เปล่าหรอก กูเก่งเอง” พาลีตวาดว่า “อ้ายเนรคุณ พวกเหล่าเทวดาท่านได้ยินแล้วใช่ไหมว่าทรพีมันไม่ได้สำนึกในบุญคุณของท่านเลย ขอพวกท่านได้โปรดอย่าคุ้มครองมันอีกต่อไปเลย” เหล่าเทพารักษ์ที่สิงอยู่ที่เขาและขาทั้งสี่ จึงพากันเลิกคุ้มครองทรพี เมื่อทรพีปราศจากผู้คุ้มครอง ก็ถูกพาลีฆ่าตายอย่างง่ายดาย เหล่าเทวดาบนสวรรค์พากันดีใจ ประทานให้ฝนตกลงมาเพื่ออวยพรให้พาลี เมื่อน้ำฝนปะปนไปกับเลือดสีแดงข้นของทรพี ก็ทำให้สีจางลงจนกลายเป็นเลือดใสไหลออกมาที่ปากถ้ำ ฝ่ายสุครีพเมื่อครบ 7 วันแล้ว ก็ไปดูลำธารหน้าปากถ้ำ เห็นเลือดใสก็โศกเศร้าเสียใจ คิดว่าพาลีพลาดท่าเสียทีทรพีเสียแล้ว จึงรีบปิดปากถ้ำอย่างหนาแน่นแล้วมุ่งหน้ากลับนครขีดขิน ฝ่ายพาลีเมื่อฆ่าทรพีเสร็จจึงเดินออกมายังปากถ้ำ ก็พบว่าถ้ำปิดแน่นหนาจึงคิดไปว่าสุครีพน้องชายทรยศ จึงรีบทลายปากถ้ำแล้วไล่ตามสุครีพไปจนทัน ดุด่าสุครีพน้องชายว่าเป็นคนทรยศ พร้อมกับบริภาษขับไล่สุครีพออกจากเมืองไป สุครีพเสียใจมากที่พี่ชายไม่ยอมรับฟังคำอธิบายของตน และก็นึกน้อยใจ ที่พี่ชายไม่นึกถึงความหลัง ในคราวที่พาลีขโมยนางดาราไปเป็นเมีย ตนก็ยังมิเคยปริปากต่อว่า สุครีพออกจากเมืองขีดขิน ระหว่างทาง สุครีพได้พบกับหนุมาน (ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลาน) จึงมีการปรับทุกข์กัน หนุมานได้ชวนให้สุครีพอยู่ด้วยกันเพื่อรอพบนารายณ์อวตาร.....จบบริบูรณ์ ที่มา https://board.postjung.com

วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2564

ตำนานการกวนเกษียรสมุทร

เดิมทีนั้นเป็นที่ทราบกันดีว่า อสูร(แทตย์) และ เทวดาเป็นพี่น้องร่วมบิดาเดียวกัน คือ พระกัศยปเทพบิดร เพียงแต่ต่างมารดาโดยอสูรเป็นบุตรของนางทิติ(มีที่สุด) และ เทวดาเป็นบุตรของนางอทิติ(ไม่มีที่สุด) โดยนางทิตินั้นก็ยังเป็นพี่สาวของนางอทิติด้วย ดังนั้นสวรรค์ในเบื้องต้นจึงเป็นของเหล่าอสูรเพราะมีศักดิ์เป็นพี่ แต่ไม่นานก็ถูกเทวดาแย่งชิงมาโดยการนำของพระอินทร์โดยเหล่าเทวดาหลอกให้อสูรดื่มกินเหล้าจนเมาแล้วช่วยกันจับโยนลงจากสวรรค์ แล้วเหล่าเทวดาก็เข้าครอบครองสรวงสวรรค์และยกพระอินทร์เป็นราชาแห่งสวรรค์มาโดยตลอดนับแต่นั้นเป็นต้นมา นี่แหละที่สร้างความโกรธแค้นที่มีต่อเหล่าเทวดาของเหล่าอสูร และ เกิดเทวาสุรสงครามแย่งชิงสวรรค์กันมาโดยตลอด เมื่อเกิดสงครามระหว่างทวยเทพกับเหล่าอสูรครั้งใด ราหูนี่เองก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการนำทัพอสูรบุกอมราวดีของพระอินทร์ทุกครั้ง แต่เหล่าอสูรก็ไม่สามารถเอาชนะทัพของท้าววัชรินทร์ได้ ต้องถอยร่นกลับมาทุกครั้ง โดยเทวาสุรสงครามครั้งนี้ต่างรบพุ่งกันเป็นเวลาหลายหมื่นปี จนมาวันหนึ่งท้าวเมฆวาหน(นามพระอินทร์แปลว่าผู้ชอบขี่เมฆ)และพระชายาศจี ทรงออกท่องเที่ยวชมมนุษยโลก ระหว่างทางได้สวนทางกับมหาฤาษีทุรวาสผู้ได้ชื่อว่าเป็นมหาฤาษีที่ขี้โมโหและมีประวัติสาปเทวดามาแล้วมากมาย มหามุนีนั้นได้รับพวงมาลัยสักการะมาจากอัปสรผู้หนึ่งจึงรับไว้ แต่เนื่องด้วยเป็นมหามุนีจึงไม่เห็นควรที่จะคล้องประดับด้วยดอกไม้หอม เมื่อเห็นท้าวสักกะผ่านมาจึงเห็นสมควรมอบพวกมาลัยนั้นเป็นของขวัญในการเสด็จลงมาเยี่ยมชมโลกมนุษย์ในทันที ท้าวศักรินทร์ก็ทรงรับพวงมาลัยนั้นแล้วนำไปมอบให้พระศจี ด้วยกลิ่นอันหอมประหลาดของดอกไม้ทิพย์ทำให้พระศจีมึนเมา จึงเอาพวงมาลัยนั้นทิ้งเสียต่อหน้าต่อตาของมหามุนีทุรวาส เมื่อเห็นเช่นนี้มหาฤาษีทุรวาสก็บังเกิดความขุ่นเคืองเป็นอย่างยิ่ง จึงต่อว่าพระอินทร์ว่าไม่ให้เกียรติตน ตนนั้นตั้งใจมอบพวงมาลัยเพื่อเป็นการต้อนรับการมาเยือนของอคันตุกะ แต่องค์จอมสรวงกลับนำไปมอบต่อให้ชายาแล้ว ปล่อยให้พระศจีชายาทิ้งเสียต่อหน้าต่อตา เป็นการหมิ่นเกียรติของมหามุนีทุรวาสซึ่งเป็นพรหมฤาษีโดยสิ้นเชิง พระอินทร์และชายาต่างอธิบายต่างๆ นานาว่าไม่ใช่ความผิดของพระองค์แต่ด้วยฤทธิ์ของดอกไม้สวรรค์ แต่พรหมมุนีก็หาฟังไม่ กลับต่อว่าอีกว่าพระอินทร์ไม่ห้ามปรามควบคุมเตือนชายาให้ดี พร้อมเอ่ยปากและเทน้ำสาปแช่งองค์เพชรปาณีว่า “ดีแหละเทวราช !!! เมื่อพระองค์หมิ่นในเกียรติแห่งเราผู้จัดว่าเป็นหนึ่งในมหาฤาษีเป็นอย่างยิ่ง เราขอสาปท่านและเหล่าบริวารของท่าน ให้อ่อนกำลังแล้วพ่ายแพ้แก่เหล่าอสูรผู้เป็นญาติผู้พี่ของเจ้าซึ่งเป็นเจ้าของสวรรค์ครั้นปฐมกาลในการต่อไปเถอะ และ เหล่าทวยเทพจะได้ทราบในอำนาจแห่งคำสาปนี้ของเราว่าเนื่องมาจากท่าน ทวยเทพจะถูกสังหารจนลดจำนวนลงอย่างมากมาย“ เมื่อสาปเสร็จพระอินทร์ทรงก้มกราบลงอ้อนวอนเท่าใดมหาฤาษีทรุวาสก็หาผ่อนปรนไม่ แล้วมหาฤาษีก็เดินทางจากไป นับแต่นั้นมาเหล่าเทวดาก็เริ่มอ่อนกำลังลงด้วยฤทธิ์แห่งคำสาป เหล่าอสูรเองก็ล่วงรู้ในการสาปแช่งครั้งนี้ต่างก็รีบกรีฑาทัพบุกตะลุยสวรรค์ในทันที เทวาสุรสงครามครั้งนี้เหล่าเทวดาถูกอสูรสังหารล้มตายเป็นจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ท้าวสักกะก็ได้แต่มองดูบริวารล้มตายด้วยความอาลัย เมื่อสิ้นปัญญาในการที่จะต่อสู้ต่อไปอีก ท้าววัชรินทร์จึงตัดสินใจให้ทวยเทพถอยทัพ แล้วพากันไปทูลองค์พระพรหมาให้พระพรหมาพาไปเข้าเฝ้าองค์นารายณ์ไวกูณฐ์นาถเพื่อวิงวอนของความช่วยเหลือ พระพรหมาทรงปราณีจึงนำทวยเทพเสด็จไปยัง ณ.ไวกูณฐ์สวรรค์ และ ทูลขอความช่วยเหลือ เมื่อองค์หริบุรุษทราบความดังนั้นแล้วจึง ตรัสบอกกับทวยเทพว่า ดูก่อน!!! ศจีบดี หนทางแก้ไขนั้นพอมีอยู่ แต่วิธีนั้นช่างลำบากยิ่งนัก พวกทวยเทพจะมีกำลังสักปานใดเล่า พวกเทวาทั้งหลายจะทำการนี้ไหวหรือ การครั้งนี้คือการกวนเกษียรสมุทร เพื่อให้บังเกิดน้ำอมฤตเพื่อพวกเจ้าจะได้ดื่มกิน เมื่อดื่มแล้วพวกเจ้าก็จะได้รับความเป็นอมตะมีชีวิตยืนยาวตราบชั่วฟ้าดิน พละกำลังก็จะกลับคืนมาและมากกว่าเดิมอีก การกวนเกษียรสมุทรนั้นหาใช่ของง่ายลำพังพวกท่านแต่กลุ่มเดียวคงกระทำการนี้ไม่ไหวหรอก พวกท่านต้องจำใจยอมนอบน้อมยกยอปอปั้นแก่เหล่าอสูรเสียก่อน แล้วค่อยเกลี่ยกล่อมเหล่าอสูรมาช่วยกันกวนน้ำอมฤตการครั้งนี้ถึงจะลุล่วงลงได้ โดยพวกท่านจงออกอุบายว่าจะแบ่งน้ำอมฤตให้อสูรร่วมดื่มกินด้วยกึ่งหนึ่ง พวกอสูรเมื่อเห็นผลประโยชน์ส่วนนี้ก็จะมาร่วมการในครั้งนี้อย่างแน่นอน พอบังเกิดน้ำอมฤตแล้วเราจะหาทางเลี่ยงมิให้พวกเหล่าอสูรได้ดื่มกินน้ำอมฤตนั้นเอง เรื่องนี้ไว้เป็นภาระของเราเองเถิดจอมสรวง เมื่อพระจตุรภุชตรัสจบ เหล่าเทวดาก็ต่างยินดียิ่งและปฏิบัติตามที่พระอัจยุตตรัสสั่งไว้ ต่างพากันไปนอบน้อมยอมแพ้แก่เหล่าอสูร แล้วไปตกลงทำสัญญาในการกวนเกษียรสมุทรกับเหล่าอสูรจนเป็นที่สำเร็จ เมื่อวันแห่งการกวนเกษียรสมุทรมาถึง พระวิษณุชลไศยินก็เสด็จมาเป็นองค์ประธาน แล้วตรัสให้เหล่าเทวาอสูรช่วยกันถอนภูเขามันทรคีรีอันเป็นแหล่งกำเนิดแห่งมณีนพรัตน์มาตั้งลงในท่ามกลางทะเลน้ำนมที่สถิตอยู่ในไวกูณฑ์สวรรค์นั้น แล้วให้ช่วยกันเก็บหาสมุนไพรนานาชนิดจำนวนมหาศาลมาผสมลงในเกษียรสมุทรนั้น และ มอบหมายให้จอมนาควาสุกิ มาเป็นเชือกพันรอบมันทรคีรีต่างสายชักโยงโดยออกอุบายยกยอให้เกียรติอสูร ว่าพวกใดมีกำลังเข้มแข็งที่สุดในสามโลกให้มาชักทางฝั่งเศียรนาคเพื่อเป็นเกียรติ เหล่าอสูรหลงกลต่างผยองรีบตรงเข้ายึดชักทางเศียรพญาวาสุกิทันที ฝ่ายเทวดาก็มาชักทางหาง ทั้งเทวดาและอสูรช่วยกันชักดึงมันทรคีรีกันอย่างเต็มกำลังให้ภูเขานั้นหมุนเพื่อกวนสมุนไพรให้เข้ากับน้ำนมในทะเลนั้น ต่างพากันปั่นไปมาเป็นเวลาหลายร้อยปี ด้วยพญาวาสุกินาคราชซึ่งร่างกายถูกเสียดสีจากการพันรอบภูเขาตลอดเวลาทั้งเหนื่อยมาตลอด ด้วยความเจ็บและเหนื่อยจำต้องอ้าปากคายพิษเป็นไฟร้อนออกมาทีละน้อย ยังผลให้เหล่าอสูรเกิดความร้อนอ่อนแรงไปตามๆ กันตรงข้ามกับเหล่าเทวดาซึ่งรู้กลอุบายนี้ที่ไปฉุดฝั่งหางเลยไม่โดนไอร้อนนี้ ซ้ำพระลักษมีปติยังช่วยบันดาลฝนให้โปรยปรายชุ่มชื่นตลอดเวลา ฝ่ายพญาอสุรินทร์ราหูก็เป็นผู้หนึ่งที่ต้องออกแรงฉุดอยู่ทางเศียรนาค ก็บังเกิดความเหนื่อยอ่อนดั่งอยู่ในนรกทั้งเป็นเช่นกัน ทำให้เกิดความลำบากจะเลิกเสียก็เสียดายที่ต้องสู้ทนมาเป็นเวลาหลายร้อยปีจนใกล้สัมฤทธิผลแล้ว เมื่อบังเกิดน้ำอมฤตแล้วค่อยคิดบัญชีกับเหล่าเทวดาก็ยังไม่สาย ราหูเป็นอสูรตนเดียวที่ตั้งมั่นกำหนดจิตว่าต้องดื่มกินน้ำอมฤตเพื่อความเป็นอมตะให้ได้ ระหว่างนั้นมันทรที่กวนเกษียรสมุทรนั้นใช้การมานานก็เริ่มเอียงคลอน พระหริทราบความจึงรีบอวตารไปเป็นเต่า (กูรมาวตาร) เพื่อหนุนดันภูเขามันทรให้ตั้งตรงขึ้นดังเดิมอีกครั้ง ฝ่ายวาสุกินาคราชนั้นได้รับความทุกข์ทรมานมากกว่าใครๆ ด้วยร่างที่พันกับภูเขาซ้ำยังเป็นเชือกปั่นให้ภูเขาหมุนกวนอยู่ตลอดเวลา ด้วยความเหนื่อยล้าจอมนาคก็พ่นพิษเป็นไฟกรดออกมามากมาย มีทั้งควันพิษที่พวยพุ่งออกมาจากลมหายใจของราชาแห่งนาคอย่างไม่ขาดระยะ มืดคลุ้มไปทั้งจักรวาลด้วยความร้อนแห่งพิษนั้นทำให้สามโลกเดือดร้อน เพราะถูกแผดเผาราวกับจะให้มอดไหม้เป็นภัสมธุลีลง เหล่าทวยเทพแลอสูรเห็นดังนั้น ต่างพากันตกใจกลัวลนลานแตกตื่นหนีเอาชีวิตรอดกันอย่างโกลาหล แต่ก็มองหาทางไม่เห็นเนื่องด้วยควันพิษนั้นปกคลุมมืดมิดจนมองอะไรแทบไม่เห็น ทันใดนั้นเองพระคังคธร(ผู้ทรงไว้ซึ่งคงคา นามหนึ่งของพระศิวะ)ก็เสด็จมาปรากฏ ณ. เกษียรสมุทร ด้วยพระทัยที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณาต่อสรรพชีวิตในสามโลกอย่างไม่มีการแบ่งแยกชั่ว-ดี พระมฤตุญชัยก็ทรงอ้าพระโอษฐ์ดูดกลืนควันพิษร้ายเข้าสู่พระอุระในทันที พร้อมทั้งตักเอาพิษที่พญาวาสุกิพ่นออกมา มาดื่มกินเพื่อช่วยเหลือก่อนที่สามโลกจะมลายไปก่อนกาลอันควร ด้วยพิษกรดอันร้ายแรงของพญาวาสุกิอันหาผู้ใดทัดทานไหวเมื่อพระหะระดื่มกินเข้าไปก็เผาผลาญพระศอจนไหม้เกรียมเป็นสีดำดังนิล เหล่าเทวาอสูรต่างแสดงความยินดีสวดมนตร์สรรเสริญและกล่าวนามเพื่อเป็นการระลึกถึงพระคุณของพระศิวะในครั้งนี้ว่า “ศรีนิลกัณฐะ” อันแปลว่าผู้มีคออันงดงามเป็นสีนิลหรือน้ำเงินอมม่วง แล้วพระนามอันศักดิ์สิทธิ์นี้ก็เป็นที่จดจำไปทั้งสามโลก ตราตรึงในความกรุณาของพระภูเตศวรประทับในหัวใจตลอดกาลไป เพราะนามนี้เป็นสัญลักษณ์ของการเสียสละเพื่อความรักอันมีต่อสรรพชีวิตอย่างไม่แบ่งแยกอันเป็นภาวะแห่งรักอันสูงสุด ยอมทนกับความเจ็บปวดแสนสาหัสอันเป็นการเสียสละอย่างใหญ่หลวงซึ่งไม่มีใครในสามโลกจะกล้าที่จะกระทำ โดยพระองค์ไม่ต้องคอยให้สาวกต้องร้องขอให้ช่วย ซ้ำไม่เคยเรียกร้องความเห็นใจจากสาวกของพระองค์เลย และ ไม่เคยทวงบุญคุณในการกระทำของพระองค์ในครั้งนี้จากผู้ใด ดังนั้นวีรกรรมในครั้งนี้จึงถูกจารึกลงในบทสวดเพื่อสรรเสริญพระศิวะตรีศังกรเจ้ามาตลอกกาลตราบจนทุกวันนี้ในความรักความเสียสละอันบริสุทธิ์ เมื่อขณะที่พระศรีกัณฐะกำลังเอาพระหัตถ์ตักพิษมาดื่มกินนั้น มีพิษบางส่วนได้ตกหล่นอยู่บนยอดหญ้าคาพวกงู และ สัตว์พิษทั้งหลายก็รีบตรงเข้ารวบรวมพิษนั้นไว้ใช้เฉพาะตน พวกงูต่างรีบตักตวงโดยใช้ลิ้นเลียลงบนยอดหญ้าคา ด้วยความคมของยอดหญ้าคาจึงบาดลิ้นของพวกงูออกเป็นสองแฉกนับแต่นั้นมา เมื่อทรงดื่มกินจนหมดความมืดมิดก็ผ่านพ้นไปท้องฟ้าเริ่มแจ่มใสขึ้นอีกครั้ง ทะเลน้ำนมที่ปั่นป่วนมานับพันๆ ปีก็เริ่มสงบนิ่ง บังเกิดแสงประหลาดสว่างไปทั่วเกษียรสมุทรเป็นสิ่งบอกให้ทราบว่าความพยายามที่กระทำมานานนั้นกำลังจัดเกิดเป็นผลสำเร็จสมบูรณ์ในชั่วขณะพริบตานี้แล้ว ทันใดนั้นเองของทิพย์วิเศษสุด 14 อย่างก็ทยอยกันผุดขึ้นมาจากเกษียรสมุทรตามลำดับ อย่างแรกคือดวงจันทร์ เหล่าทวยเทพแลอสูรต่างสำนึกในบุญคุณแห่งการเสียสละของพระศรีกัณฐะจึงต่างเห็นพ้องกันว่าของวิเศษประการแรกควรถวายแด่องค์พระโยเคศวรศิวะเจ้า พระเป็นเจ้าจึงหยิบเอาดวงจันทร์นั้นมาทัดเป็นปิ่นทันที เทวดาและอสูรได้เห็นพระรัศมีที่งดงามของพระเป็นเจ้าศิวะและของดวงจันทร์คู่กันอย่างเหมาะสมลงตัว จึงต่างสรรเสริญพระนามให้ใหม่ในทันทีว่า “จันทรเศขร” สิ่งที่ 2 ที่ผุดขึ้นมา คือ แก้วเกาสตุภะ เทวดาและอสูรก็นำไปถวายแด่องค์พระวิษณุมัธวะ สิ่งที่ 3 ที่ผุดขึ้นมา คือ ดอกบัวซึ่งมีพระลักษมีเทวีประทับอยู่ในนั้น แล้วพระลักษมีก็เสด็จออกจากกลางดอกบัว ทั้งเทวดาอสูรและเหล่าฤาษีต่างมองกันอย่างไม่กระพริบตาด้วยความงดงามขนาดจินตกวียังไม่รู้จะหาคำใดมาพรรณาในความงามนี้ได้อย่างถูกต้อง ทันใดนั้นพระวิศวกรรมจอมช่างก็ได้เนรมิตเครื่องทรงถวายพระศรี แล้วพระศรีทรงคล้องพวงมาลัยทิพย์ที่ไม่รู้จักเกี่ยวมาสวมไว้ แล้วเสด็จตรงโดยไม่ใยดีผู้ใดในสามโลก ตรงมาเข้าเฝ้าพระอนันตไศยินในทันทีพระวิษณุก็ทรงรับสวมกอดเอาไว้ด้วยพระศรีนั้นเป็นผู้เลือกคู่ครองเอง ทั้งสามโลกจึงไม่มีใครกล้าปฏิเสธในการเลือกของพระเทวีในครั้งนี้ สิ่งที่ 4 ที่ผุดขึ้นมา คือ นางวารุณีเทวีแหล่งเหล้า สิ่งที่ 5 ตามมาด้วยช้างเผือกเอราวัณ พระอินทร์นั้นรับไว้เป็นพาหนะประจำพระองค์ สิ่งที่ 6 จากนั้นก็ตามมาด้วยม้าอุจไจศรพ พระอินทร์ก็รับไว้เป็นพาหนะอีก แล้วก็ตามมาด้วย สิ่งที่ 7 ต้นปาริชาติ อันมีดอกที่หอมมาก มีสรรพคุณสามารถระลึกชาติได้ ต้นไม้นี้ก็ล่องลอยขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ทันที สิ่งที่ 8 ที่ผุดขึ้นมา คือ โคสุรภี หรือ กามเธนุ เป็นโควิเศษสามารถบันดาลอะไรได้ตามต้องการ สิ่งที่ 9 ที่ผุดขึ้นมา คือ หริธนู สิ่งที่ 10 คือ สังข์ สิ่งที่ 11 ที่ผุดขึ้นมา คือ เหล่านางอัปสรผู้เลอโฉม 35 ล้านตน แต่หามีเทวาและอสูรรับพวกนางไว้ครอบครอง เลยต้องกลายเป็นของกลางไม่ตกแก่ใคร เป็นนางบำเรอสร้างความสุขทั่วไป สิ่งที่ 12 ที่ผุดขึ้นมา คือ พิษร้าย ซึ่งไม่มีใครรับไว้ครอบครองนอกจากพวกเหล่าอสรพิษทั้งหลาย สิ่งที่ 13 และ 14 ที่ผุดขึ้นมาพร้อมๆ กันคือ ธันวันตริผู้เป็นแพทย์สวรรค์ ผุดขึ้นมาทูนหม้อน้ำทิพย์อมฤตซึ่งเป็นสิ่งวิเศษลำดับที่ 14 ขึ้นมาด้วยแล้วค่อยๆ ประคองวางลงบนแท่นบัวทองคำอันวิจิตรสถิตอยู่ริมฝั่งเกษียรสมุทร ฝ่ายองค์พระวิษณุเห็นดังนั้น จึงออกกลอุบายในขณะที่เหล่าเทวดาและอสูรต่างแย่งชิงของวิเศษ 12 อย่างที่ผุดขึ้นมาก่อนหน้านี้ ก็ทรงแบ่งอวตารพระกายเป็นสตรีรูปงามราวกับพระศรีลักษมี นามว่า “โมหิณี” ตรงมายั่วยวนยังเหล่าอสูร พวกอสูรเห็นดังนั้นต่างกรูกันไปโอบล้อมนางไว้หวังได้นางมาครอบครอง นางผู้เป็นอวตารของพระวิษณุจึงออกอุบาย ว่าพวกเทวดานั้นต่างเป็นพวกอ่อนแอ หาเข้มแข็งเท่าเหล่าอสูรไม่ เราจะรับอาสาแบ่งปันน้ำอมฤตตามส่วนให้ โดยอสูรนั้นจะได้ 3 ใน 4 ส่วน แต่เนื่องด้วยเหล่าอสูรเป็นผู้เข้มแข็งกว่า ให้ถือเสียว่าให้ทานพวกเทวดาได้ดื่มกินก่อนเถอะ เพื่อแสดงน้ำใจและความมีอำนาจอันยิ่งใหญ่ของเหล่าอสูร ด้วยเหล่าอสูรหลงในมนตร์เสน่ห์นางจำแลงพระวิษณุ นางว่าเช่นไรก็ว่าตามเช่นนั้น นางจึงนำน้ำอมฤตไปแบ่งปันให้เหล่าเทวดาก่อน โดยล่อเหล่าอสูรให้สนใจไปในอีกทางหนึ่ง ฝ่ายอสุรินทร์ราหูนั้นเป็นแทตย์ที่มีเล่ห์เหลี่ยมสูง รู้ทันกลอุบายของพระวิษณุและด้วยความตั้งมั่นที่จะเป็นอมตะแต่อย่างเดียว แตกต่างกับอสูรทั้งหลายที่มุ่งมั่นแต่กามกิเลส ราหูจึงแปลงกลายเป็นพราหมณ์ชราเข้าไปปะปนในหมู่เทวดา ฤาษี เพื่อรับการปันน้ำอมฤตดื่มกิน เทวดาและเหล่ามหาฤาษีต่างก็ไม่ได้ระแวง ราหูจึงได้ดื่มกินน้ำอมฤตด้วยความยินดี น้ำอมฤตได้แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย หายเหนื่อยเมื่อยล้า เรี่ยวแรงก็เพิ่มขึ้นมากมายกลายเป็นทิพยภาวะอมตะบุคคลไปในทันที ฝ่ายสุริยเทพและจันทรเทพนั้นอยู่บนที่สูง แลเห็นการแปลงกายของราหูโดยตลอดเนื่องด้วยปรากฏเงาแห่งอสูร ก็รีบทูลพระนารายณ์ให้ทราบโดยทันที พระนารายณ์จึงทรงขว้างจักรสุทรรศน์อันเป็นเทพศัสตราอันทรงฤทธิ์ประจำกายพระองค์ออกไปตัดร่างของราหูขาดออกเป็นสองท่อนๆ ล่างได้กลายเป็นพระเกตุไป ในขณะที่กำลังดื่มกินน้ำอมฤตอยู่ โลหิตของจอมอสูรราหุตกลงบนพื้นดินแดงฉาน แต่ราหูก็หาได้เสียชีวิตไม่ด้วยได้ดื่มกินน้ำอมฤตเป็นอมตะไปแล้ว ขณะเดียวกันน้ำอมฤตที่ดื่มกินเข้าไปบางส่วนก็หยดลงบนพื้นดินด้วยกลายเป็นหอมขาว ส่วนเลือดของราหุที่หยดลงไปกลายเป็นหอมแดง พระวิษณุผู้เป็นเจ้าจึงมีเทวประกาศิตแก่ธันวันตริแพทย์สวรรค์ว่า “ธันวันตริ !!! เธอจงจารึกไว้ในคัมภีร์อายุรเวท (ว่าด้วยวิชาแพทย์)ของเธอเพื่อสั่งสอนมนุษย์เป็นการสืบไปภายภาคหน้าว่า อันหอมแดงนั้นเป็นโทษเพราะมีกำเนิดจากโลหิตของอสุรินทร์ราหู ผู้ใดบริโภคหอมแดงจะเกิดโทษมีโรคภัยเบียดเบียน แต่ถ้าผุ้ใดบริโภคหอมขาวอันกำเนิดจากน้ำอมฤตผู้นั้นจะมีพลานามัยที่สมบูรณ์ มีชีวิตยืนยาว ด้วยคุณวิเศษแห่งน้ำอมฤตนั้น” ตรัสจบพระวิษณุก็มอบหม้อน้ำอมฤตที่ยังเหลืออยู่ให้แก่พระอินทร์ แล้วรับนำไปเก็บรักษายังสวรรค์ห้ามผู้ใดได้แตะต้องอีก เหล่าเทวดาก็พากันโห่ร้องด้วยความดีใจ จนได้ยินมาถึงพวกอสูร เหล่าอสูรจึงหันกลับมาดูจึงรู้ว่าเสียรู้พวกเทวดาแล้ว จึงรีบกรูกันเข้ามาแย่งชิงน้ำอมฤตจากเหล่าเทวดาในทันที แต่ด้วยว่าเสียรู้เพราะเทวดาได้ดื่มกินน้ำอมฤตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งมีความเป็นอมตะไม่มีวันตายแล้ว พละกำลังก็เพิ่มมากขึ้นมากมาย ซ้ำเหล่าอสูรก็เพิ่งจะเหน็ดเหนื่อยหมดแรงมาจากการกวนเกษียรสมุทรด้วย เหล่าอสูรจึงพ่ายแพ้จำใจต้องถอยทัพกลับ โดยที่ไม่ได้อะไรติดมือกลับไปเลย เหล่าเทวดาก็ได้กลับไปครอบครองสวรรค์ดังเดิม เหล่าเทวดา ฤาษี เมื่อช่วยกันขับไล่อสูรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ตรงกลับกราบมาสักการะพระศิวะ พระนารายณ์ และ พระศรีลักษมี แล้วขอให้พระเป็นเจ้าช่วยคุ้มครองช่วยเหลือ พระผู้เป็นเจ้าทั้งสามก็ยินดี แล้วพระศิวะก็เสด็จกลับไปยังไกลาสในทันที ส่วนพระวิษณุก็ลงไสยาศเหนือทิพยอาสน์ของพญานาคเศษะกลางเกษียรสมุทรโดยมีพระลักษมีเทวีคอยปรนนิบัติพัดวีด้วยความรักในพระวิษณุเจ้า และแล้ว พระผู้มีพระเนตรเรียวงามราวกับกลีบดอกบัวก็เข้าสู่นิทรารมณ์อีกครา เมื่อพระเป็นเจ้าวิษณุบรรทมสินธุ์แล้ว สามโลกก็กลับร่มเย็นตามเดิมอีกคราหนึ่ง แต่ไฟแค้นของอสุรินทร์ราหูยังครุกลุ่นอยู่ด้วยเพราะการที่สุริยเทพและจันทรเทพไปทูลพระวิษณุ จนตนนั้นถูกตัดขาดออกเป็น 2 ท่อน (ท่อนบนเรียกว่าราหู ส่วนท่อนล่างเรียกว่าเกตุ) ด้วยตนนั้นก็มีสิทธิ์ที่จะได้ดื่มกินน้ำอมฤตเช่นกันตามสัญญาที่ให้ไว้ต่อกัน แต่กลับต้องมาต้องอาญาด้วยประการฉะนี้ พระอาทิตย์และพระจันทร์ต้องชดใช้ในการกระทำครั้งนี้อย่างสาสม ด้วยเหตุนี้ราหูจึงคอยหาโอกาสจับสุริยเทพและจันทรเทพมากลืนกินเสียด้วยความพยาบาท แต่พระอาทิตย์และพระจันทร์ก็ล่วงพ้นไปได้ในชั่วเวลาไม่นานนัก เพราะ ราหูนั้นมีกายเพียงครึ่งท่อนเทพทั้งสองจึงหลุดออกไปได้ การจองเวรเช่นนี้จึงเกิดคราสเรื่อยมา ราหูหลังจากนั้นก็มิได้เข้าร่วมทำสงครามแย่งสวรรค์จากเทวดาอีกเลย ด้วยเหลือกายเพียงครึ่งเดียว และ ราหูก็เป็นทิพย์เหมือนเทพไปแล้ว ก็เฝ้าแต่บำเพ็ญตบะเพิ่มฤทธิ์ตน และ คอยจับกลืนพระอาทิตย์และพระจันทร์เท่านั้น จนพระพรหมธาดาเสด็จมาประธานพรในผลตบะนั้น โดยมอบเกียรติยศให้ราหู-เกตุ ได้เป็นสมาชิกของเทวสภาด้วยผู้หนึ่ง นับว่าเป็นอสูรที่พิเศษกว่าอสูรทั้งปวงเป็นเพียงอสูรตนเดียวที่ได้รับเกียรติสูงส่งนี้ และ ยังเป็นอสูรเพียงตนเดียวที่ได้รับการสักการะบูชาโดยมีปฏิมาอยู่ในเทวลัยร่วมด้วยกับปฏิมาของเทพองค์อื่นๆ ครั้งหนึ่งราหูเคยอาละวาดจนสวรรค์พังมาแล้ว แต่เมื่อเป็นเทพแล้วก็กลับใจได้ทำตนดีขึ้น ดังนั้นไม่ต้องกลัวราหู-เกตุเพราะในอีกมุม ราหู-เกตุก็ให้คุณได้เช่นเป็นดวงที่ต้อง ค้าขายกับต่างชาติ หรือมีธุรกิจที่เกียวข้องกับสุรา หรือสถานที่อโคจรทั้งหลายยมวิกาล ในวิษณุปุราณะพรรณนาว่า พระราหู ทรงราชรถเทียมม้าดำ 8 ตัว สีกายดำหรือสีหมอก รถนี้มีไว้เพื่อเตรียมพร้อมในเวลาที่จับพระอาทิตย์และพระจันทร์ และเรียกจุดดักจับนี้ว่า “พารวัน” (node) ส่วนเวลาอื่นราหูจะทรงเสือโคร่ง หรือ สิงห์ดำเป็นพาหนะ มี 4 กร ถือโล่ ดาบ หอก ตรีศูล คทา ลูกศร ดอกบัว บ้าง ส่วนอีกกรประทานพร นามนั้นก็มีมากมายตามเหตุการณ์ต่างๆ เหมือนเทวดาทั่วๆ ไปคือ อัมพรปิศาจ(ปิศาจแห่งท้องฟ้า) ,ภารณีภู(กำเนิดในกลุ่มดาวฤกษ์ภรณี), ครหะ(ผู้จับ) ส่วนพระเกตุ ทรงราชรถเทียมม้าสีแดง 8 ตัว มีกายสีทองแดงหรือสีแดงน้ำรัก บ้างก็ว่าทรงแร้ง บ้างก็ว่าไม่ทรงพาหนะแต่มีท่อนบนเป็นมนุษย์ใบหน้ามีสิวมากส่วนท่อนหางเป็นงูแทน บ้างก็ว่ามีเศียรเป็นงูกายเป็นมนุษย์ มี 4 กร ถือ คทา โล่ ดาบ ธง อีกกรประทานพร บางที่ก็ว่ามีแค่ 2 กร นามก็มีอีกเช่น กปันธะ(ผู้ปราศจากหัว) , อกะชะ(ไม่มีขน) , อเลศะ , ภาวะ(ถูกแบ่งออก) , มุนธะ From http://patdramaa111.srp.ac.th/ ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

นารายณ์ 10 ปาง

อวตารในศาสนาฮินดู นารายณ์สิบปาง อวตารของพระวิษณุมีมากมายหลายปาง แต่อวตารซึ่งเป็นที่รู้จักโดยทั่วไปคืออวตารชุด "ทศาวตาร" (เป็นการสมาสคำว่า "ทศ" (สิบ) เข้ากับคำว่า "อวตาร" จึงหมายถึง "อวตารทั้งสิบ") ซึ่งในประเทศไทยมักเรียกชื่อว่า "นารายณ์สิบปาง" รายชื่ออวตารทั้งสิบปางนั้นปรากฏอยู่ในครุฑปุราณะ ทั้งนี้ ตามการแบ่งเวลาเป็นยุคของศาสนาฮินดูนั้น อวตารสี่ปางแรกของพระองค์เกิดขึ้นในสัตยยุค สามปางต่อมาเกิดขึ้นในไตรดายุค อวตารปางที่แปดเกิดขึ้นในทวาปรยุค ปางที่เก้าเกิดในกลียุค และปางที่สิบซึ่งเป็นปางสุดท้ายจะเกิดขึ้นเมื่อถึงปลายกลียุค อวตารทั้งสิบปางของพระวิษณุประกอบด้วย 1. มัตสยาวตาร - พระวิษณุอวตารเป็นปลาชื่อ "ศผริ" เพื่อช่วยเหลือพระมนูให้รอดจากโลกาวินาศในช่วงพรหมราตรีจนกระทั่งไว้ตั้งวงศ์มนุษย์ขึ้นมาใหม่ และสังหารอสูรหัยครีวะซึ่งลักเอาพระเวทไปจากพระพรหม เรื่องราวโดยละเอียดปรากฏอยู่ในคัมภีร์มัตสยปุราณะ 2. กูรมาวตาร - พระวิษณุอวตารเป็นเต่าเพื่อรองรับเขามันทระในพิธีกวนเกษียรสมุทร(สมุทระมันทร) เรื่องราวโดยละเอียดปรากฏอยู่ในคัมภีร์กูรมปุราณะ 3. วราหาวตาร - พระวิษณุอวตารเป็นพระวราหะ เพื่อประหารยักษ์หิรัณยากษะ ซึ่งได้ลักเอาแผ่นดินโลกไปจากพื้นสมุทร เรื่องราวโดยละเอียดปรากฏอยู่ในคัมภีร์วราหปุราณะ 4. นรสิงหาวตาร - พระวิษณุอวตารเป็นนรสิงห์ (ครึ่งคนครึ่งสิงห์) เพื่อประหารพญายักษ์หิรัณยกศิปุ ผู้ซึ่งกระทำทารุณกรรมต่อประหลาทกุมารซึ่งภักดีต่อพระวิษณุ 5. วามนาวตาร - พระวิษณุอวตารเป็นพราหมณ์หลังค่อมชื่อวามนะ เพื่อปราบความอหังการของราชาอสูรพลี ที่กระทำพิธีอัศวเมธ(ปล่อยม้าอุปการ)เพื่อให้ตนเป็นเจ้าทั้งสามพิภพ โดยขอพื้นที่ 3 ก้าวย่าง เรื่องราวโดยละเอียดปรากฏอยู่ในคัมภีร์วามนปุราณะ 6. ปรศุรามาวตาร - พระวิษณุอวตารเป็นพราหมณ์ชื่อปรศุราม ("รามผู้ถือขวาน") เพื่อปราบกษัตริย์ผู้มีพันกรชื่อกรรตวิรยะอรชุน ซึ่งกระทำการเบียดเบียนข่มเหงแก่คนวรรณะพราหมณ์อย่างหนัก และกวาดล้างเชื้อวงศ์วรรณะกษัตริย์ที่เป็นบุรุษจนหมดสิ้นทั้งโลก ถึง 21 ครั้ง 7. กฤษณาวตาร - พระวิษณุอวตารเป็นพระกฤษณะ กษัตริย์แห่งกรุงทวารกาในคัมภีร์ภควตปุราณะ มหากาพย์มหาภารตะ และอนุศาสนภควัทคีตา อย่างไรก็ตาม ในทศวาตารฉบับดั้งเดิมนั้นกล่าวไว้ว่าพระพลรามพี่ชายของรามกฤษณะคืออวตารปางที่แปดของพระนารายณ์ ส่วนพระกฤษณะนั้นคือต้นธารแห่งอวตารทุกปางที่ปรากฏขึ้นในโลก 8. พุทธาวตาร - พระวิษณุอวตารเป็นพระโคตมพุทธเจ้า ศาสดาของศาสนาพุทธองค์ปัจจุบัน มาจากคัมภีร์ภาควตปุราณะ (ปัจจุบันคือ พระไตรปิฎก) เรียบเรียงขึ้นหลังคริสต์ศตวรรษที่ ๙ 9. รามาวตาร - พระวิษณุอวตารเป็นพระราม พระมหากษัตริย์แห่งกรุงอโยธยา เป็นวีรบุรุษในมหากาพย์เรื่องรามายณะ (หรือรามเกียรติ์) 10. กัลกยาวตาร - ในอนาคตกาลเมื่อถึงปลายกลียุค พระวิษณุจะอวตารมาเป็นบุรุษขี่ม้าขาวชื่อกัลกิ ("นิรันดร", "กาลเวลา", หรือ "ผู้บำราบความเขลา") เพื่อปราบยุคเข็ญ มีเรื่องราวปรากฏอยู่ในกัลกิปุราณะ ข้อมูลจากวิกิพีเดียสารานุกรมเสรี ขอขอบคุณมา ณ.ที่นี้ ขอบตุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2564

สังข์

“สังข์ ของขวัญมงคล จากท้องทะเล” ในน.ส.พ. มติชน ฉบับ 17 มิถุนายน 2557 ซึ่งสรุปความมาจากหนังสือ ชื่อ “สังข์ ธรรมชาติและสิ่งศักดิ์สิทธิ์” โดย ดร.ชวลิต วิทยานนท์ ดร.อภิณัฏฐ์ กิติพันธุ์ และ พิริยะ วัชจิตพันธ์ ว่า คนไทยคุ้นเคยกับหอยสังข์ผ่านพิธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์ที่รับอิทธิพลจากประเทศอินเดียมาแต่โบราณ จนพิธีกรรมและความเชื่อแบบพราหมณ์กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตคนไทย และสิ่งหนึ่งที่อยู่คู่กับพิธีมงคลคือสังข์ สังข์ คือหอยทะเลกาบเดียว ใช้ประกอบพิธีมงคล โดยสังข์พิธีจะเรียกลักษณนามว่า “ขอน” ไม่ใช่ “ตัว” เหมือนหอยทั่วไป ผิวชั้นนอกสุดเป็นเปลือกหนาสีน้ำตาล คือ ไคติน จะหลุดออกเมื่อหอยตายไปสักระยะหนึ่ง เมื่อลอกเปลือกชั้นนอกออกจะพบเปลือกแข็งลักษณะเรียบมันมีสีสันต่างกันไป เช่น ขาว เทา ชมพู ส้ม หอยสังข์แต่ละชนิดมีชื่อเรียกตามถิ่นที่พบเจอตั้งแต่มหาสมุทรอินเดียจนถึงมหาสมุทรแอตแลนติก โดยจะพบในเขตร้อน ได้แก่ สังข์อินเดีย สังข์ศรีลังกา สังข์สุวรรณภูมิ หรือสังข์อันดามัน สังข์ยักษ์แอฟริกา สังข์บราซิล สังข์แคริบเบียน สำหรับสังข์ที่นิยมใช้ในพิธีมงคล คือสังข์อินเดีย ส่วนสังข์ที่พบในไทย คือ สังข์สุวรรณภูมิ หรือสังข์อันดามัน ในน่านน้ำไทยฝั่งอันดามัน ถือเป็นหอยหายากราคาแพง หลังภัยพิบัติสึนามิปี 2547 ไม่พบสังข์ชนิดนี้ในทะเลอันดามันอีกเลย การใช้ประโยชน์จากสังข์มีมาแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ในลักษณะเครื่องใช้ ทั้งเครื่องประดับ ภาชนะ และแตรสัญญาณ ส่วนการใช้ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถูกบันทึกเมื่อมีศาสนาพราหมณ์ ในประเทศอินเดีย ตำนานเล่าถึงพระนารายณ์ หรือพระวิษณุ กับคัมภีร์พระเวทของศาสนาพราหมณ์ที่รวบรวมบทสวด ความรู้และความเชื่อ เรื่องเล่าว่า ยักษ์ชื่อสังข์อสูร ไปพบพระพรหมบรรทมแล้วเห็นพระเวทไหลออกมาจากพระโอษฐ์ จึงขโมยพระเวทมา พระนารายณ์ทอดพระเนตรเห็นจึงตามไปทวงพระเวทคืน แต่ยักษ์กลับกลืนพระเวทลงท้องแล้วหนีลงมหาสมุทร พระนารายณ์ก็แปลงกายเป็นปลา เมื่อเจอสังข์อสูรจึงใช้พระหัตถ์ล้วงพระเวทในท้องจนเนื้อที่ปากของยักษ์เป็นรอยนิ้วพระนารายณ์ เมื่อได้พระเวทคืนพระนารายณ์สาปให้สังข์อสูรอยู่ในมหาสมุทรตลอดไป และสั่งให้มีสังข์เข้าร่วมพิธีมงคล เมื่อมนุษย์จะทำการมงคลจึงจับสังข์มาร่วมพิธี ตามเรื่องเล่าที่ถือว่าสังข์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพราะสังข์เคยเป็นที่อยู่ของคัมภีร์พระเวท คัมภีร์ที่ได้รับการบูชาสูงสุดในศาสนาพราหมณ์ ส่วนอีกหนึ่งเกร็ดจากเรื่องเล่า คือร่องรอยจากพระหัตถ์พระนารายณ์ที่ทิ้งไว้ที่ปากสังข์อสูร เมื่อนำหอยสังข์อินเดียมาพิจารณาจะเห็นร่องเป็นสันที่ปากสังข์ ส่วนนี้เองที่เรียกว่ารอยนิ้วพระนารายณ์ จากคติความเชื่อทำให้สังข์ถูกนำมาใช้ตั้งแต่สมัยโบราณ โดยเฉพาะใช้เพื่อความเป็นมงคล สังข์ที่นิยมนำมาใช้ประกอบพิธีมากที่สุด คือ สังข์อินเดีย เนื่องจากมีลักษณะถูกต้องตามหลักความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ นอกจากนี้ในอดีตสังคมอินเดียยังแบ่งสีของสังข์ตามวรรณะเพื่อเป็นเครื่องใช้ประจำตัว สีขาวสำหรับพราหมณ์, สีแดง น้ำตาล ชมพู สำหรับกษัตริย์, สีเหลือง สำหรับไวศยะหรือพ่อค้า และสีเทา ดำ สำหรับศูทร ชาวไร่ชาวนา ผู้ใช้แรงงาน สำหรับการใช้งาน มีทั้งใช้รดน้ำและใช้เป่า สังข์รดน้ำใช้ตามความเชื่อจากกำเนิดสังข์ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ เมื่อน้ำใดผ่านสังข์จึงถือเป็นมงคลด้วย ส่วนสังข์เป่าเป็นวิธีการใช้งานตั้งแต่โบราณกาล โดยการตัดปลายด้านจุกแหลมให้เป็นรู แล้วเป่าเกิดเสียงก้องกังวาน ใช้ทั้งเป็นเครื่องดนตรีและการส่งสัญญาณ ตามความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์ถือเป็นเสียงมงคล ด้วยเสียงที่ดังคล้ายเสียง “โอม” ซึ่งเป็นคำศักดิ์สิทธิ์ เป็นเสียงที่สร้างบรรยากาศอันเป็นมงคลในงานพิธี คำถามที่หลายคนสงสัยคือ สังข์ศักดิ์สิทธิ์ต้องเวียนซ้ายหรือเวียนขวา ซึ่งแท้จริงสังข์ที่มีลักษณะหายากนี้เรียกได้หลายชื่อ ทั้งมหาสังข์ สังข์ทักษิณาวัตร สังข์ทักขิณาวรรต คือสังข์อินเดียที่เวียนขวา (เวียนซ้าย เรียกอุตราวรรต) เวลาดูให้หันด้านที่เป็นจุกม้วนวนเข้าหาตัว หากปากสังข์เปิดทางขวา นั่นคือสังข์เวียนขวา วิธีการดูอย่างนี้ตรงกันข้ามกับการดูสังข์ทางชีววิทยา ตามหลักชีววิทยา มหาสังข์เวียนขวาจะเรียกว่าสังข์เวียนซ้าย เพราะใช้วิธีการดูด้านตรงข้ามกัน โดยทั่วไปหอยทะเลจะมีเปลือกหมุนเวียนซ้าย กรณีสังข์เวียนขวาจึงเกิดจากการผ่าเหล่า หาได้ยากชนิดที่ว่าเป็นหนึ่งในล้าน ที่มา : คอลัมน์ รู้ไปโม้ด น้าชาติ ประชาชื่น จากเทคโนโลยีชาวบ้านดอทคอม

วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2564

อรัญญา นามวงศ์

ถ้าพูดถึงนางเอกหนังไทยเบอร์หนึ่งในใจผมก็ต้องพี่เปี๊ยก อรัญญา นามวงศ์ ด้วยใบหน้าที่สวยและมีเสน่ห์ ประกอบด้วยบุคลิกน่ารัก หวาน และสามารถแสดงได้หลายบทบาท ต่อไปนี้เป็นประวัติของท่านจากวิกิพีเดียสารานุกรมเสรี อรัญญา นามวงศ์ มีชื่อจริงว่า อัญชลี ศิระฉายา (สกุลเดิม ชอบประดิษฐ์) ชื่อเล่น เปี๊ยก (4 กันยายน พ.ศ. 2490 — ) นักแสดงชาวไทย มีผลงานแสดงคู่กับสมบัติ เมทะนี จำนวนหลายเรื่อง จนนับเป็นนักแสดงคู่ขวัญคู่หนึ่ง ประวัติ เกิดในค่ายทหาร จังหวัดลพบุรี บุตรสาวของพันเอก เสงี่ยม ชอบประดิษฐ์ (2451-2522) กับสุรางค์ ชอบประดิษฐ์ (2457-2540) สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนวรรณวิทย์ โรงเรียนโยนออฟอาร์ค โรงเรียนอัมพรไพศาล และโรงเรียนสตรีสันติราษฎร์บำรุง เริ่มเข้าสู่วงการตั้งแต่อายุ 14 ปี จากการเข้าประกวดนางงามและในปี พ.ศ. 2507 ได้เข้ามาเป็นนักร้องวงสุนทราภรณ์โดยขับร้องเพลงเธอเท่านั้นเป็นคนแรกต่อมาหลังจากเธอลาออกไปประกวดนางสาวไทยคุณศรวณี โพธิเทศบันทึกเสียงแทน หลังจากลาออกจากวงสุนทราภรณ์ในปี พ.ศ. 2508 อรัญญาได้เข้าประกวดนางสาวไทย ได้ตำแหน่งรองจาก อาภัสรา หงสกุลซึ่งได้ตำแหน่งนางสาวไทยปีนั้น แล้วแสดงละครโทรทัศน์ครั้งแรกกับคณะกัญชลิกา ที่ ช่อง 4 บางขุนพรหม เรื่อง บ้านทรายทอง รับบทพจมาน สว่างวงศ์ (ก่อนหน้า เคยเป็นนักแสดงรับเชิญและร้องเพลงประกอบภาพยนตร์คู่กับชรินทร์ นันทนาครใน ลมหนาว กำกับโดย พันคำ) เป็นนางเอกจอเงินครั้งแรกในภาพยนตร์ 35 มม.เสียงในฟิล์ม ของละโว้ภาพยนตร์ คู่กับ มิตร ชัยบัญชา เรื่อง อีแตน พ.ศ. 2511 ซึ่งต้องขับร้องเพลงประกอบด้วย ประสบความสำเร็จอย่างสูง (เรื่องอื่นที่นำแสดงในช่วงนั้นเป็นหนัง 16 มม.) ตามด้วยหนังเพลงฟอร์มใหญ่ของละโว้ในต้นปีต่อมา เกาะสวาทหาดสวรรค์ พ.ศ. 2512 คู่กับ สมบัติ เมทะนี ได้สร้างความประทับใจแก่ผู้ชมอีกครั้ง หลายเพลงที่ขับร้องไว้ในเรื่องนี้โดยเฉพาะเพลง "รักแท้" (แก้ว อัจฉริยะกุล-สมาน กาญจนะผลิน) มักเป็นที่จดจำกล่าวถึงกันทั่วไป จากเรื่องนี้ทั้งคู่ได้ร่วมงานกันอีกเป็นจำนวนมาก เรื่องที่สร้างชื่อเสียงโดดเด่นสูงสุดของยุคนั้น คือ โทน พ.ศ. 2513 กำกับโดย เปี๊ยก โปสเตอร์ แสดงคู่กับ ไชยา สุริยัน ซึ่งกล่าวได้ว่าอื้อฉาวมากในสมัยนั้นเพราะเป็นนางเอกคนแรกของวงการภาพยนตร์ไทยที่มีฉากสื่อเป็นนัยว่าต้องตกเป็นของผู้ร้าย (สะอาด เปี่ยมพงศ์สานต์) จากการกล้าตัดสินใจเสี่ยงรับแสดงบทที่ไม่เคยมีนางเอกหนังไทยทำมาก่อน ส่งผลให้ทั้งภาพยนตร์และดาราเป็นที่กล่าวขวัญกันทั่วเมืองไทย ขณะที่ผู้ชมคอหนังไทยไม่อาจยอมรับได้อย่างเต็มใจนัก มีแนวคิดระดับสากลตามสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา แสวงหาแนวทางใหม่โดยไม่ยึดติดภาพลักษณ์เดิม พร้อมแสดงได้หลากหลายท่ามกลางกระแสวิจารณ์อย่างหนัก เคยรับบทคนขอทาน ใน ไม่มีคำตอบจากสวรรค์, บทนักฆ่าหลายบุคลิก ใน ล่า ร่วมกับ ลลนา สุลาวัลย์ แม้กระทั่งรับบทนำในภาพยนตร์ที่แสดงออกทางเพศอย่างร้อนแรง ช่วงปลายทศวรรษ 2510 เช่น ตลาดอารมณ์, คืนนี้ไม่มีพระจันทร์, ไฟรักสุมทรวง, มีนัดไว้กับหัวใจ, จันดารา ฯลฯ รวมทั้งบทนำที่มีตอนจบแปลก ๆ เสียดสีแนวเรื่องหนังไทยใน รักคุณเข้าแล้ว ของ หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล บทบาทเด่นอีกหลายเรื่อง เช่น แสนพยศ, ดาวรุ่ง, เจ้าหญิง, กลัวเมีย, แก้วสารพัดนึก, งูเก็งกอง ภาค 2 , ชลาลัย, เจ้าแม่ ฯลฯ นอกจากนี้ยังเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์และร่วมแสดงนำใน นรกตะรุเตา ของ รณภพฟิล์ม (2519) และ อย่าลืมฉัน ของ อัญชลีโปรดัคชัน มีนักแสดงที่ชื่นชอบเป็นพิเศษคือ หม่อมชั้น พวงวัน ดาราตลกหญิงอาวุโสในช่วงยุคทองของหนังไทย (16 มม.) ชีวิตส่วนตัว สมรสกับเศรษฐา ศิระฉายา ทั้งคู่มีบุตรสาวคือ พุทธิดา ศิระฉายา ปัจจุบัน หันมาเป็นผู้จัดละคร และแสดงละครเป็นครั้งคราว คืนวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2554 เข้ารักษาตัวฉุกเฉินที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เนื่องจากกล้ามเนื้อด้านซ้ายอ่อนแรง และมุมปากเบี้ยว วันรุ่งขึ้น ศาตราจารย์อดิศร ภัทราดูรย์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ของโรงพยาบาลแถลงข่าวว่า มีเลือดออกในส่วนลึกของสมองข้างขวา และมีก้อนเลือดประมาณสองเซนติเมตร เลือดเปราะและแตกเนื่องมาจากความดันโลหิตสูงมาเป็นเวลานาน ต้องรักษาด้วยกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูร่างกาย

สมบัติ เมทะนี

ในบรรดาพระเอกหนังไทย ที่ผมชอบที่สุดอันดับหนึ่งคือพี่แอ๊ด สมบัติ เมทะนีครับ เนื่องด้วยมีหนังแสดงมากและผมจะเห็นบ่อยที่สุด ด้านความหล่อก็มีรูปแบบนะเคยอ่านเจอแต่จำไม่ได้ ด้วยส่วนสูงประมาณ 170 กว่าและเล่นกล้ามมาก่อนจึงดูสมาร์ทมาก ประกอบด้วยบุคลิกนุ่มนวลจึงชวนให้ติดตาม ต่อไปนี้เป็นประวัติของท่าน จากวิกิพีเดียสารานุกรมเสรี สมบัติ เมทะนี (เกิด: 26 มิถุนายน พ.ศ. 2480 ชื่อเล่น แอ๊ด) ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ภาพยนตร์และละครโทรทัศน์) ประจำปี 2559 นักแสดงและผู้กำกับภาพยนตร์ชาวไทย ผู้ชนะเลิศรางวัลตุ๊กตาทองและรางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง นอกจากนี้กินเนสบุ๊คยังบันทึกไว้ว่าเป็นนักแสดงที่รับบทเป็นพระเอกมากที่สุดในโลก โดยแสดงเป็นพระเอกถึง 617 เรื่อง สมบัติ เมทะนี เป็นบุตรของนายเสนอ เมทะนี กับนางบุญมี เมทะนี เกิดที่จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นถิ่นฐานเดิมของแม่ แต่เมื่ออายุได้เพียง 7 วัน ครอบครัวได้ย้ายมาอยู่ที่แยกสะพานอ่อน ใน ปทุมวัน กรุงเทพมหานคร ตามพ่อซึ่งเป็นข้าราชการกรมรถไฟ จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนเทพศิรินทร์ จากนั้นจึงทำงานครั้งแรกที่บริษัทเอส ซี จี เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแทน แต่เมื่อฐานะการเงินของบริษัทไม่ดี จึงลาออกมาเพื่อหางานอื่นทำ ระหว่างนี้จึงได้เข้าศึกษาต่อระดับอนุปริญญาที่โรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวายและเข้าเกณฑ์ทหาร 6 เดือน พ้นเกณฑ์ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2502 จึงออกหางานทำ โดยตั้งใจว่าจะรับราชการ ระหว่างที่เดินหางานอยู่นั้น ได้เข้าสู่วงการบันเทิงโดยบังเอิญ เมื่อเป็นที่ถูกตาของแมวมองแถวโรงภาพยนตร์คิงส์-ควีนส์ ย่านวังบูรพา เพราะมีรูปร่างสูงใหญ่ โดยเป็นพระเอกละครโทรทัศน์ทันทีทางช่อง 7 ขาวดำ (ช่อง 5 ในปัจจุบัน) คู่กับวิไลวรรณ วัฒนพานิช ซึ่งเป็นนางเอกภาพยนตร์ชื่อดังก่อนแล้ว โดยมีสุพรรณ บูรณะพิมพ์ นักแสดงรุ่นพี่เป็นผู้ให้คำปรึกษาทางด้านการแสดง ในส่วนชีวิตครอบครัวของ สมบัติ เมทะนี สมรสกับ กาญจนา เมทะนี (ตุ๊) เมื่อปี พ.ศ. 2502 มีบุตรด้วยกันทั้งหมด 6 คน เป็นบุตรชาย 5 คน ธิดา 1 คน คือ สิรคุปต์ เมทะนี (อั๋น), สุรินทร์ เมทะนี (เอิร์ธ) เกียรติศักดิ์ เมทะนี (อั้ม), ศตวรรษ เมทะนี (เอ้), พรรษวุฒิ เมทะนี (อุ้ม) และ สุดหทัย เมทะนี (เอ๋ย) ซึ่งสมบัติกับกาญจนา ทั้งคู่รู้จักกันในฐานะที่เป็นเพื่อนบ้านกันและสมรสกันก่อนที่สมบัติจะเข้าสู่วงการบันเทิงเสียอีก ต่อมาสมบัติ เมทะนีได้ศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี โปรแกรมวิชาบริหารธุรกิจ จากสถาบันราชภัฏเพชรบุรีวิทยาลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ฯ และระดับปริญญาโท-เอก สาขารัฐประศาสนศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย นอกจากนี้แล้ว สมบัติ เมทะนี ยังเป็นนักแสดงที่รับรู้กันเป็นอย่างดีว่า เป็นผู้ที่นิยมเล่นเพาะกาย โดยเล่นมาตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ เนื่องจากมีพ่อเป็นนักกีฬา ชอบเล่นกีฬาหลายประเภททั้ง รักบี้, ฟุตบอล, มวย ปัจจุบัน สมบัติ เมทะนี มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี เนื่องจากเป็นผู้ที่รักษาสุขภาพด้วยการเล่นกีฬา ออกกำลังกายอยู่เสมอ เพียงแต่มีปัญหาด้านสายตา ซึ่งไม่สามารถที่มองเห็นในเวลากลางคืน และแพ้แสงจ้า จึงทำให้ไม่สามารถที่จะขับรถด้วยตนเองมาได้นานกว่า 30 ปีแล้ว วันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2559 คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติและคณะกรรมการอำนวยการคัดเลือกศิลปินแห่งชาติได้มติคัดเลือกศิลปินแห่งชาติประจำปี 2559 ซึ่งสมบัติได้รับการเสนอชื่อให้เป็นศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (ภาพยนตร์-ละครโทรทัศน์) วงการบันเทิง เริ่มเข้าวงการบันเทิง จากการแสดงละครโทรทัศน์เรื่อง หัวใจปรารถนา เป็นเรื่องแรกเมื่อ พ.ศ. 2503 คู่กับวิไลวรรณ วัฒนพานิช หลังจากแสดงละครโทรทัศน์อยู่ 4 เรื่องจึงหันไปแสดงภาพยนตร์ เรื่องแรก รุ้งเพชร คู่กับ รัตนาภรณ์ อินทรกำแหง พ.ศ. 2504 ผลงานแสดงภาพยนตร์ตั้งแต่ยุค 16 มม.ถึง ยุคภาพยนตร์สโคป 35 มม.เสียงพากย์ในฟิล์มและซาวด์ออนฟิล์ม เช่น เกียรติศักดิ์ทหารเสือ, ศึกบางระจัน, จุฬาตรีคูณ, เล็บครุฑ ตอน ประกาศิตจางซูเหลียง, กลัวเมีย, ฟ้าทะลายโจร ฯลฯ เคยกำกับภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น ลูกสาวกำนัน, แม่แตงร่มใบ และ น.ส.ลูกหว้า เคยปรากฏตัวพิเศษเป็นดารารับเชิญในภาพยนตร์ชุดทางทีวีครั้งแรกครั้งเดียว ใน ผู้หญิงก็มีหัวใจ นำแสดงโดย สุมาลี ทองหล่อ, ฉันทนา ติณสูลานนท์, สุระ นานา ผลงานของ ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล พร้อมมิตรภาพยนตร์ ช่อง 7 สี พ.ศ. 2511 ในช่วงที่ได้รับความนิยมถึงขีดสุด เคยรับงานแสดงพร้อมกันมากถึง 28 เรื่อง เป็นนักร้อง มีผลงานอัดแผ่นเสียงอัลบั้มเพลงประกอบภาพยนตร์ จุฬาตรีคูณ, เกาะสวาทหาดสวรรค์ และ วิวาห์พาฝัน เป็นต้น เป็นพรีเซนเตอร์ เครื่องเล่นVCDวีซีดี, ดีวีดี/วีดิทัศน์ และ โฮมเธียร์เตอร์ สัญชาติไทยยี่ห้อ “เอเจ (AJ) ” และเคยเป็นพิธีกรช่วงสั้น ๆ ทางรายการ วิก 07 ทางช่อง 7 เมื่อ พ.ศ. 2533 งานการเมือง ลงสมัครเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2549 ในเขตกรุงเทพมหานคร ได้รับเลือกตั้งเป็นอันดับ 6 จากที่ต้องการ 18 คนด้วยคะแนน 53,526 เสียง แต่ก่อนที่จะได้เข้าตำแหน่งก็มีการทำรัฐประหารก่อน ต่อมาคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ แต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พ.ศ. 2549 โดยเป็นตัวแทนฝ่าย สื่อสารมวลชน นักเขียน ศิลปิน ต่อมาเข้าเป็นสมาชิกพรรคประชาราช โดยได้รับแต่งตั้งเป็นรองหัวหน้าพรรค และลงสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2550 แบบสัดส่วน กลุ่มที่ 6 สังกัดพรรคประชาราช ลำดับที่ 1 แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง จากนั้นสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยและลงสมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2554 แบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคเพื่อไทย ลำดับที่ 102 แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง

พญาครุฑ

ครุฑ (สันสกฤต: गरुड) เป็นสัตว์ในนิยายในประมวลเรื่องปรัมปราฮินดูและปรากฏในวรรณคดีสำคัญหลายเรื่อง เช่น มหาภารตะ เล่าว่า ครุฑเป็นพี่น้องกับนาคแ...