วันอาทิตย์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2561

แก่งหลี่ผี


     บทความต่อไปนี้พูดถึงแก่งหลี่ผีจากหนังสือ ประวัติ อภินิหารพระเครื่องหลวงปู่แหวน โดยบุรีรัตนา (ยกเว้นตัวหนังสือสีเขียว)
     วนเวียนอยู่ในฝั่งลาวอยู่อีกหลายวัน พระอาจารย์ตื้อ ก็ชวนหลวงปู่แหวนย้อนกลับมาฝั่งไทยอีกครั้ง การข้ามฝั่งมาสู่ไทยนั้นเป็นการยากลำบากด้วยกระแสน้ำที่พัดแรงเชี่ยวจนไม่มีเรือแพพอจะข้ามฝั่งได้ง่าย ต้องลัดเลาะมาตามชายฝั่งหาที่ปลอดภัย ชาวบ้านส่วนใหญ่ใช้เรือแจว เรือถ่อเป็นพาหนะ ถ้าหากใครขืนใช้แน่นอนจะต้องเอาชีวิตไปทิ้งที่แม่น้ำโขง
     แก่งต่าง ๆ มีอยู่มากมายทั้งที่เต็มไปด้วยอันตรายและปลอดภัยได้แก่ แก่งคันตะเกียน แก่งไก่แม่ฟัก แก่งยางกุด แก่งถ้ำแดง แก่งพ่อหมาแดง แก่งที่อันตรายคือ แก่งบ้านเหวิน ไปจนถึงสุวรรณเขต ถึงแก่งกกเผึ้ง ระยะทางประมาณ 500 เมตรเศษ ๆ
     แก่งที่สำคัญมีชื่อในประวัติศาสตร์ก็คือ แก่งหลี่ผี คำว่าหลี่เป็นภาษาอิสานมีความหมายถึง เครื่องมือดักปลาชนิดหนึ่งสานด้วยไม้ไผ่รูปยาวรีใช้ดักปลาตามร่องน้ำ หลี่ผีก็คือ เครื่องมือดักปลาของผีไม่ใช่ของคน จึงน่าจะมี ประวัติความสำคัญอันเกี่ยวพันถึงความเร้นลับอย่างแน่นอน
     ชาวอิสานละแวกนี้ส่วนใหญ่มีความเชื่อเรื่องผีเรื่องสางกันมาก ชีวิตประจำวันของเขาจึงมักจะเชื่อถือเรื่องโชคลาง ผี สาว เทวดา แก่งหลีผีหรือเกาะหลี่ผีนี้มีความกว้างพื้นที่ไม่น้อยกว่า 15-20 กิโลเมตร มีชาวบ้านอยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก มีวัดอยู่วัดหนึ่ง บันทึกกล่าวว่า พระครูโพนสะเม็กได้สร้างเอาไว้ ระหว่างที่ท่านผ่านมาทางแก่งหลี่ผีนี้
     ส่วนตัวผมเคยดูรายการท้าพิสูจน์ทางช่อง 7 สมัยที่ยังเป็นอนาลอกอยู่ ดำเนินรายการโดยคุณฐาปกรณ์ เขาบอกว่า แก่งหลี่ผีเกิดจากการยกทัพไปทำสงครามกับลาวหรือเขมรนี่แหละ เนื่องจากจะยกทัพข้ามไปลาวต้องข้ามแม่น้ำโขงก่อน เจ้าพระยาจักรีซึ่งเป็นแม่ทัพ (รัชกาลที่ 1) มีรับสั่งทหารให้ขนหินถมบริเวณที่จะยกทัพข้ามไปลาว ถือได้ว่าเป็นกฤษฎาภินิหารของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชซึ่งจะได้เป็นปฐมกษัตริย์ในราชวงศ์จักรีเลยทีเดียว เมื่อถมหินได้แล้วจึงยกทัพข้ามไปได้ และตรงนั้นได้กลายมาเป็นแก่งหลี่ผีในปัจจุบัน
     พระอาจารย์ตื้อและหลวงปู่แหวนได้พากันเดินทางมาถึงที่นี่ด้วยการใช้เรือถ่อข้ามมา ในช่วงที่มีอันตรายน้อยที่สุด เพราะบริเวณแห่งนี้เต็มไปด้วยอันตรายจากธรรมชาติ กระแสน้ำวนไหลแรงห่างไปไม่ไกลนัก มีแก่งหินประหลาดไม่กว้างเท่าไหร่มีต้นไม้อยู่ต้นเดียวตั้งโดดเดี่ยวอยู่ รอบ ๆ เต็มไปด้วยกระแสน้ำที่แรงและเชี่ยวจัด

ขอบคุณภาพแก่งหลี่ผีจากอินเตอร์เน็ต

     ปลาประหลาด ๆ มีปรากฏที่นี่ แต่ชาวบ้านไม่กล้าจับ คือปลาเงือก มีลักษณะเหมือนวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณี ตัวเงือกนั้นมีลักษณะเหมือนปลาช่อนตัวโตกว่า เวลาว่ายน้ำไม่ได้ว่ายแบบปลาทั่ว ๆ ไป แต่ว่ายตัวตั้งตรงโผล่ส่วนหัวขึ้นมา มีลักษณะคล้ายเด็กแดง ๆ ว่ายน้ำ มีหน้าตาหูหัวเหมือนคน ยิ่งไปกว่านั้น ปลาเงือกเหล่านี้มี “นม” เครื่องเพศของสตรีสองเต้า
     ชาวบ้านไม่กล้าจับกินหรือแม้แต่จับเอามา เขามีความเชื่อว่าปลานี้คือ ภูตผีที่จำแลงกาย พระอาจารย์ตื้อได้เล่าให้นายอินศรศิษย์ที่เชียงใหม่ฟังว่า ท่านได้พบเห็นสิ่งแปลกประหลาดหลาย ๆอย่าง ระหว่างที่ท่องอยู่ในดินแดนของราชอาณาจักรลาว เช่นปลาเงือกไม่เคยพบเห็นจากที่ใด ดูแล้วเหมือนเด็กว่ายน้ำ ปลาบึกที่มีขนาดใหญ่ตัวเท่าควายในลำน้ำโขง คนสามารถยืนบนหลังเวลามันว่ายน้ำได้อย่างสบาย
     ผู้คนที่อยู่บนแก่งหลี่ผีนั้น ส่วนใหญ่ทำมาหากินคือทำประมงจับปลา ทำแห้งแล้วนำไปขายสุวรรณเขตและฝั่งไทย มีชีวิตและความเป็นอยู่แบบง่าย ๆ มีความสุขดีเคารพนับถือพระ แต่ก็มีความหวาดกลัวเรื่องภูตผี
     ผู้คนเหล่านี้ ดั้งเดิมติดตาม พระครูโพนสะเม๊ก มาแล้วท่านได้ปล่อยทิ้งเอาไว้ที่นี่ เพราะเห็นทำเลชัยภูมิดีเหมาะแก่การทำมาหากิน ท่านได้สร้างวัดเอาไว้เพื่อให้เป็นจุดศูนย์กลาง โดยปล่อยผู้คนให้เฝ้าดูแลรักษาวัด

       









    
    
    
    

พญาครุฑ

ครุฑ (สันสกฤต: गरुड) เป็นสัตว์ในนิยายในประมวลเรื่องปรัมปราฮินดูและปรากฏในวรรณคดีสำคัญหลายเรื่อง เช่น มหาภารตะ เล่าว่า ครุฑเป็นพี่น้องกับนาคแ...