วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

อภินิหารเหรียญรุ่นแรกอาจารย์นำ แก้วจันทร์


อภินิหารระทึกขวัญเหรียญรุ่นแรก พระอาจารย์นำ แก้วจันทร์


เหรียญพระอาจารย์นำรุ่นแรกเนื้อโลหะผสม

     คุณวรศักดิ์ อดิเทพวรพันธ์ หรือ “โกหว่า แห่งทุ่งสง” เล่าว่าได้ให้เหรียญรุ่นแรก “พระอาจารย์นำ แก้วจันทร์” แก่ คุณวิพจน์ ถิ่นพังงา นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลอ่าวลึกใต้ อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ ไปเหรียญหนึ่ง เพราะคุณวิพจน์มีความเลื่อมใสศรัทธา “พระอาจารย์นำ” เป็นพิเศษ เมื่อได้เหรียญไปแล้วก็ได้นำไปเลี่ยมทองห้อยคออยู่เพียงเหรียญเดียวเท่านั้น

รูปพระอาจารย์นำจากเว็บพลังจิต

     เช้ามืดวันที่ 18 กันยายน 2550 เวลา 04.00น. คุณวิพจน์ ถิ่นพังงา ปัจจุบันอายุ 53 ปี ได้ขับรถปิคอัพออกจากบ้านเพื่อไปทำธุระ เมื่อเดินทางถึงหน้าโรงเรียนอ่าวลึกใต้ หมู่ 2 ตำบลอ่าวลึกปรากฏว่ามีรถปิคอัพอีกคันหนึ่งขับพุ่งมาบนถนนอ่าวลึกเหนือ-อ่าวลึกใต้อย่างรวดเร็ว ขึ้นแซงประกบรถของคุณวิพจน์ ถิ่นพังงา คนในรถคันนั้นใช้ปืนเอ็มสิบหก กราดยิงเข้าใส่ช่วงหน้ารถตรงตัวคุณวิพจน์อย่างไม่ยั้งมือสนั่นหวั่นไหว ชาวบ้านบริเวณนั้นได้ยินเสียงปืนแผดกังวานในยามเช้ามืดต่างตกใจวิ่งออกมาดูเหตุการณ์อันระทึกขวัญจำนวนมาก เมื่อยิงกระหน่ำจนรถพลิกลงข้างทาง สงบนิ่งแล้วคนร้ายก็ขับรถหายไปในความมืดใกล้สว่าง ท่ามกลางความตื่นตกใจของชาวบ้านอ่าวลึกจำนวนมาก

คุณวิพจน์ ถิ่นพังงา ผู้ประสพเหตุ นับรอยกระสุนได้14นัด กับเหรียญ อ.นำ

     เมื่อชาวบ้านได้สติแล้วก็วิ่งมาที่รถของคุณวิพจน์ที่สงบนิ่งอยู่ภายในรถ สภาพรถกระจกทั้งคันแตกกระจายเพราะลูกปืน ตามตัวถังรถมีรูลูกปืนเต็มไปหมด ทุกคนคิดว่าคนในรถต้องตายแน่นอน แต่เมื่อเปิดประตูออกดูได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากคุณวิพจน์ ชาวบ้านจึงรีบเข้าช่วยเหลือนำร่างคุณวิพจน์ส่งโรงพยาบาลอ่าวลึก และต่อมาได้ส่งไปรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลกระบี่

รอยกระสุนที่รถปิคอัพ

     ตำรวจได้เข้าตรวจที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืนเอ็มสิบหกตกอยู่บริเวณที่เกิดเหตุจำนวน21ปลอก เมื่อไปพบคุณวิพจน์ที่โรงพยาบาลกระบี่ ปรากฏว่าตามร่างกายคุณวิพจน์มีจุดแดง ๆ เล็กบ้างใหญ่บ้างตามลำตัว  แต่กระสุนไม่สามารถเจาะเข้าไปได้แม้แต่นัดเดียว มีที่บริเวณโคนแขนโดนแรงกระสุนจุดเดียวหลายนัดอัดเข้าไปจนมีรอยแตกของผิวเล็กน้อย แต่กระดูกแขนหัก เนื่องจากตามสัญชาตญาณ คุณวิพจน์ยกแขนขึ้นป้องกันตัว ลูกกระสุนปืนหลายนัดวิ่งเข้าจุดเดียวบนลำแขนจนกระดูกแตก

อีกภาพที่เห็นชัด ๆ

     คุณวิพจน์ ถิ่นพังงา แขวนเหรียญรุ่นแรกที่คุณวรศักดิ์ อดิเทพวรพันธ์ ให้ไว้ในคอเพียงเหรียญเดียว โดยไม่มีวัตถุมงคลอื่น ๆ ติดตัวเลยแม้แต่ชิ้นเดียว
     นี่คืออภินิหารของเหรียญรุ่นแรก รุ่นเดียวที่สร้างในสมัยที่พระอาจารย์นำมีชีวิตอยู่ ปัจจุบันเหรียญนี้ได้รับความนิยมสูงมากของปลอมมีระบาดกลาดเกลื่อน การแสวงหาต้องใช้ความสามารถในการพิจารณาอย่างดี

เรื่องและภาพจากหนังสือลานโพธิ์ ฉบับที่  986 ปี พ.ศ.2550 โดย เท่ง ลำปำ

วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2561

"เมฆสิทธิ์" ยอดโลหะขลังของเก่า-ใหม่ต่างกันตรงไหน


     พระเนื้อเมฆสิทธิ์ของเก่ามีสร้างกันไม่กี่ท่าน ที่ขึ้นชื่อลือชาที่สุดก็คือของพระอาจารย์ทับ วัดอนงคารามฝั่งธนบุรี และก็ยังมีของหลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า ซึ่งเข้าใจว่าคงจะได้รับการถ่ายทอดการสร้างจากพระอาจารย์ทับนั่นเอง พระเนื้อเมฆสิทธิ์ได้ยินนักเลงพระรุ่นเก๋าบอกว่าเป็นพระเนื้อเมฆพัดเข้าทองคำ (ส่วนตัว กฤษฎา เคยเห็นพระเมฆสิทธิ์ที่แตกเมื่อสังเกตุจะเห็นสายแร่ทองคำเป็นเส้นเลย) และตกแตกเช่นกัน
     โลหะเมฆสิทธิ์มีความขลังตามธรรมชาติ แม้ไม่ได้ทำเป็นรูปพระก็มีความขลังในตัวเอง เมื่อนำมาทำเป็นพระเครื่องและทำการปลุกเสกก็จะยิ่งขลังขึ้นไปอีก พระเนื้อเมฆสิทธิ์ที่พระอาจารย์ทับสร้างไว้ก็มี พระปางซ่อนหา พระข้างรัศมี พระปิดตา และลูกอม เป็นอาทิ ส่วนพระเนื้อเมฆสิทธิ์ที่หลวงปู่ศุขสร้างก็มีพระพิมพ์ประภามณฑลดังภาพ

พระเมฆสิทธิ์หลวงปู่ศุขพิมพ์ประภามณฑล

    พระเนื้อเมฆสิทธิ์เกิดจากการเล่นแร่แปรธาตุของพระอาจารย์รุ่นเก่า สูตรการผสมและการซัดแร่เมื่อก่อนไม่มีใครรู้ จนกระทั่งปี 2526-2527 เริ่มมีคนผสมและหลอมได้ ตอนนั้นเขาทำกันเงียบ ๆ เป็นวงใน คนมักคุ้นกันนำเอาก้อนโลหะเมฆสิทธิ์ที่หลอมขึ้นมาใหม่มาให้ชม สีเข้มกว่าและสดกว่าเนื้อเมฆสิทธิ์ของโบราณ อีกทั้งสีเหลือบปีกแมลงทับบนผิวก็เข้มกว่า และอีกหลายปีต่อมาคือปี 2532 หลวงพ่อดีวัดพระรูปท่านก็สร้างพระปิดตาเนื้อเมฆสิทธิ์ออกมา เป็นที่นิยมชมกันมาก ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกันจะเห็นได้ชัดเจนว่า

พระปิดตาพระอาจารย์ทับวัดอนงคาราม

     พระเนื้อเมฆสิทธิ์ของหลวงพ่อดี มีความเข้มกว่าและสดกว่าพระของเก่าอย่างของพระอาจารย์ทับหรือพระของหลวงปู่ศุข สรุปก็คือ พระเนื้อเมฆสิทธิ์ของเก่าสีพระจะไม่เข้มมาก ยิ่งพระผ่านการใช้มาแล้ว สีจะจางเหลืองอ่อนอมคล้ำ และผิวจะแห้งคร่ำบ่งบอกถึงอายุ อีกทั้งเหลือบปีกแมลงทับของผิวพระของเก่าก็จางกว่า

ข้อมูลเรื่องและภาพจากหนังสือเซียนพระฉบับที่ 408
    

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม(ตอนจบ)


พาหุงกาคืออะไร
     ถึงตอนนี้ผู้เขียนได้กราบนมัสการหลวงพ่อจรัญแล้วเรียนถามท่านขึ้นด้วยความสนใจว่า
     “พาหุงกาคืออะไรขอรับหลวงพ่อ”
     “อ๋อก็คือบทสวดสรรเสริญพระพุทธคุณพระธรรมคุณพระสังฆคุณ แล้วก็พรพาหุงอันเริ่มด้วยพาหุงสหัสไปจนถึงทุคคาหทิษฐิแล้วเรื่อยไปจนถึงมหาการุณิโกนาโถหิตายะและจบลงด้วยภะวะตุสัพ พะมังคะลัง  สัพพะพุทธา สัพพะธัมมา สัพพะสังฆา นุภาเวนะสะทาโสตถิภะวันตุเต”

ภาพจากเพจพญานาค

     อาตมาเรียกรวมกันว่าพาหุงกา อาตมาจึงเข้าใจในบัดนั้นเองว่าบทพาหุงนี้คือบทสวดมนต์ที่สมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้วได้ถวายให้พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชไว้สวดเป็นประจำเวลาอยู่กับพระมหาราชวังและในระหว่างศึกสงครามจึงปรากฏว่าพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเจ้าทรงรบ ณ ที่ใดทรงมีชัยชนะอยู่ตลอดเวลามิได้ทรงเพลี่ยงพล้ำเลยแม้จะเพียงลำพังสองพระองค์กับสมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า ท่ามกลางกองทัพพม่าจำนวนนับแสนคนก็ทรงมีชัยชนะเหนือกองทัพพม่าทั้งแสนคนด้วยการกระทำยุทธหัตถีมีชัยเหนือพระมหาอุปราชา ณ ดอนเจดีย์ปูชนียสถาน แม้ข้าศึกจะยิงปืนไฟเข้าใส่พระองค์ในตอนที่เข้ากันพระศพของพระมหาอุปราชาออกไปราวกับห่าฝนก็มิปานแต่ก็มิได้ต้องพระองค์ด้วยเดชะพาหุงกาที่ทรงเจริญอยู่เป็นประจำนั่นเอง
    อาตมาพบนิมิตแล้วก็ไต่ขึ้นมาด้วยความสบายใจถึงปากปล่องที่ลงไปเกือบสามชั่วโมงเนื้อตัวมีแต่หยากใย่เดินลงมาแม่ชีเห็นเข้ายังร้องว่า หลวงตาเข้าไปในโพรงนั่นมาหรือแต่อาตมาไม่ตอบ”

ภาพจากผู้จัดการ

     ตั้งแต่นั้นมาอาตมาจึงสอนการสวดพาหุงกาให้แก้ญาติโยมเป็นต้นมา เพราะอะไรเพราพาหุงกานั้นเป็นบทสวดมนต์ที่มีค่าที่สุด มีผลดีที่สุดเพราะเป็นชัยชนะอย่างสูงสุดของพระบรมศาสดา จากพญาวัสวดีมาร จากอาฬวกะยักษ์ จากช้างนาฬาคิริง จากองคุลิมาล จากนางจิญมานวิกา จากสัจจะกะนิครนธ์ จากพญานันโทปนันทนาคราช และท่านท้าวผกาพรหม เป็นชัยชนะที่ทรงได้มาด้วยความบริสุทธิ์ด้วยอำนาจแห่งบารมีธรรมโดยแท้ ผู้ใดได้สวดไว้ประจำทุกวันจะมีชัยชนะมีความเจริญรุ่งเรืองตลอดกาลนาน มีสติระลึกได้จะตายก็ไปสู่สุขคติภูมิขอให้คุณโยมช่วยประชาสัมพันธ์ให้ด้วยนะว่าให้สวดพาหุงกากันให้ทั่วหน้านอกจากจะคุ้มตัวแล้วยังคุ้มครอบครัวได้ สวดมาก ๆ เข้าสวดกันทั้งประเทศก็ทำให้ประเทศมีแต่ความรุ่งเรืองพวกคนพาลสันดานหยาบก็แพ้ภัยไปอย่างถ้วนหน้า

สมเด็จพระนเรศวรมหาราชจาก tnews

     ไม่แต่พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเท่านั้นที่พบความมหัศจรรย์ของบทพาหุงกา แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก็ทรงพบเช่นกันโดยมีบันทึกโบราณบอกไว้ว่าดังนี้
     “เมื่อพระเจ้าตากสินมหาราชตีเมืองจันทบุรีได้แล้วก็ทรงเห็นว่าสงครามกู้ชาติต่อจากนี้ไปจะต้องหนักหนาและยืดยาวจึงทรงโปรดเกล้าให้สร้างพระยอดธงแบบศรีอยุธยาขึ้นแล้วนิมนต์พระเถราทั้งหลายมาสวดบทพาหุงกาบรรจุไว้ในองค์พระและพระองค์ก็ทรงเจริญรอยตามพระบาทสมเด็จพระนรศวรมหาราชด้วยการเจริญพาหุงกาเช่นกัน จึงทรงกู้ชาติได้สำเร็จ”
     โยมช่วยบอกญาติโยมด้วยนะว่าสวดพาหุงกากันให้ได้ทุกบ้านสวดให้ได้มาก ๆ จะมีแต่ความรุ่งเรือง สวดพาหุงก่อนแล้วจึงสวดชินบัญชรเพราะชินบัญชรนั้นเจ้าประคุณสมเด็จท่านให้สวดบูชาพระอรหันต์ของท่าน ต้องพาหุงกาก่อนแล้วจึงมาถึงชินบัญชรให้จดจำกันเอาไว้นั่นแหละมงคลในชีวิต
     หลวงพ่อจรัญได้พูดถึงเรื่องพาหุงกานี้อย่างละเอียดแล้วท่องให้ฟังด้วยเพราะท่านต้องการให้ผู้เขียนได้จดจำและเอาไปบอกต่อกับท่านผู้อ่านต่อไป

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจาก wikimapia

     ท่านผู้อ่านที่เคารพวัดอัมพวันเป็นดินแดนแห่งความสงบร่มเย็นด้วยอำนาจแห่งสติปัฏฐาน การเจริญภาวนา การเดินจงกลม การละเว้นสิ่งที่พึงลดพึงละพึงเว้นเป็นดินแดนแห่งธรรมะและการหลีกเร้นจากความวุ่นวายของโลกภายนอกเพื่อแสวงหาความสงบแห่งจิตใจ แต่การเข้าไปต้องด้วยศรัทธาอันน้อมนำเข้าไปไม่ใช่เพราะขัดพวกพ้องไม่ได้หรือเสียไม่ได้
     ประตูวัดอัมพวันเปิดต้อนรับผู้แสวงหามนุษย์สมบัติ ผู้ที่เป็นผู้เจริญด้วยสติปัญญาและการรู้จักคำว่าการคารวะและการเห็นสมณะเป็นอุดมมงคล หลวงพ่อจรัญท่านยินดีให้ธรรมะปฏิบัติและตอบข้อข้องใจในสิ่งที่เป็นไปเพื่อความเจริญแห่งชีวิตของผู้ถามและแก่ส่วนรวมทั่วไปและโปรดอย่าลืมคติของหลวงพ่อที่ว่า
     “มาได้ รอได้ ทนได้ พบได้ ได้ดี”
     มนุษย์สมบัตินั้นหลวงพ่อว่าแสวงหาได้ไม่ยากด้วยการภาวนาและการปฏิบัติกรรมฐานและสมาธิ แต่ท่านที่ต้องการแสวงหาทางไปนิพพานทั้ง ๆ ที่ตัวเองยังบกพร่องยังไม่มีมนุษย์สมบัติละก็หลวงพ่อจรัญท่านว่า

จากหนังสือมหัศจรรย์ฉบับที่ 728 โดยดอน เจดีย์ชัย

หมายเหตุ สำหรับคาถาพาหุงมหากา หรือชัยมงคลคาถา หาดูได้ตามกูเกิลครับพิมพ์คำว่าคาถาพาหุงจะขึ้นมาเลยครับ ผมจึงไม่ได้ลงไว้ ขอบคุณครับ

วันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

หลวงพ่อจรัญ (ตอน 6)


เมื่ออาตมาได้พบกับสมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้ว

     คืนวันหนึ่งอาตมานอนหลับแล้วฝันไปว่า อาตมาได้เดินไปในสถานที่แห่งหนึ่งได้พบกับพระสงฆ์รูปหนึ่งครองจีวรคร่ำสมณสารูปเรียบร้อยน่าเลื่อมใสอาตมาเห็นว่าเป็นพระอาวุโสผู้รัตตัญญูจึงน้อมนมัสการท่าน ท่านหยุดยืนตรงหน้าอาตมาแล้วกล่าวกับอาตมาว่า
     “ฉันคือสมเด็จพระวันรัตน์วัดป่าแก้วแห่งกรุงศรีอยุธยา ฉันต้องการให้เธอได้ไปที่วัดใหญ่ชัยมงคล เพื่อดูจารึกที่ฉันได้จารึกถวายพระเกียรติแก่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชผู้เป็นเจ้าเนื่องในวาระที่สร้างที่สร้างพระเจดีย์ฉลองชัยชนะเหนือพระมหาอุปราชาแห่งพม่าและประกาศความเป็นอิสระของประเทศไทยจากหงสาวดีเป็นครั้งแรก เธอไปดูไว้แล้วจดจำมาเผยแพร่ออกไป ถึงเวลาที่เธอจะได้รับรู้แล้ว”

ภาพเจดีย์วัดใหญ่ชัยมงคลจาก thailand temple

     ในฝันอาตมารับปากท่านท่านก็บอกตำแหน่งให้แล้วก็ตกใจตื่นตอนใกล้รุ่งอาตมาก็ทบทวนความฝันก็นึกอยู่ในใจว่าเราเองนั้นกำหนดจิตด้วยกรรมฐานมีสติอยู่เสมอเรื่องฝันฟุ้งซ่านเป็นไม่มี อาตมาก็ได้ข่าวในวันนั้นแหละว่า ทางกรมศิลปากรที่ทำการบูรณะปฏิสังขรณ์พระเจดีย์ใหญ่ในวัดใหญ่ชัยมงคลและจะทำการบรรจุบัวยอดพระเจดีย์อันเป็นนิมิตรหมายการสิ้นสุดการบูรณะ แล้วจะรื้อนั่งร้านทั้งหมดออกเสร็จสิ้น
     อาตมาจึงได้ขอร้องคุณกิ่งแก้ว อรรถากร ให้เลื่อนการปิดยอดบัวไปอีกวันหนึ่งเพื่อที่อาตมาจะได้นำพระซุ้มเสมาชัย ซุ้มเสมาของที่อาตมาได้สร้างขึ้นตามแบบดั้งเดิมที่พบในเจดีย์ใหญ่ใกล้กับวัดอัมพวันซึ่งพังลงน้ำ ที่ก๋งเหล็งเป็นคนรวบรวมเอามาให้อาตมาตั้งแต่เมื่อเริ่มมาพัฒนาวัดใหม่ ๆ แต่แตกหักผุพังทั้งนั้นหลายสิบปี๊บ อาตมาได้ป่นเอามาผสมสร้างปั้นองค์พระใหม่ไปร่วมบรรจุไว้ที่ยอดพระเจดีย์บ้าง

ภาพวาดสมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้วทางซ้าย เจดีย์วัดใหญ่ชัยมงคลและหลวงพ่อจรัญทางขวา จากtnews

     วันนั้นอาตมาเดินทางไปถึงก็ได้เดินขึ้นไปบนเจดีย์ตอนที่สุดบันไดแล้วมองเห็นโพรงที่ทางเขาทำไว้สำหรับลงไปด้านล่างมีร้านไม้พอไต่ลงไปภายในตั้งใจเด็ดเดี่ยวว่าลงไปคราวนี้ ถ้าพลาดตกลงไปจากนั่งร้านม้า ก็ยอมตายคนที่ร่วมเดินทางมาเขามัวแต่ไปบนลานชั้นบน อาตมาก็ดิ่งลงไปชั้นล่างไฟฉายดวงหนึ่ง เวลานั้นประมาณ 9.00น. อาตมาลงไปภายในแล้วก็พบนิมิตดังที่สมเด็จพระพนรัตน์ได้บอกไว้จริง ๆ
     อาตมาจึงได้พบว่าแท้ที่จริงแล้วสิ่งที่สมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้วท่านได้จารึกถวายพระพรก็คือบทสวดที่เรียกกันว่า พาหุงกา
     ท้ายของนิมิตนั้นระบุว่า “เราสมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้ว ศรีอโยธเยศ คือผู้จารึกนิมิตและแปลเอาไว้ถวายพระพรแด่มหาบพิตรเจ้าสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” (ติดตามตอนจบครั้งหน้าครับ)

จากหนังสือมหัศจรรย์ฉบับที่ 728 โดยดอน เจดีย์ชัย

วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

หลวงพ่อจรัญ (ตอน 5)


เทวดากับการสวดมนต์

     ผู้เขียนได้นมัสการเรียนถามหลวงพ่อจรัญด้วยความสงสัย เพราะหลวงพ่อได้กล่าวถึงเทวดาไว้หลายตอนด้วยกัน
     “หลวงพ่อครับกระผมอยากทราบความคิดเห็นของหลวงพ่อที่มีต่อเทวดาที่เขาสวดชุมนุมเทวดานั้นจะมีจริงหรือไม่”
     หลวงพ่อจรัญท่านตอบในทันทีว่า “อาตมาเชื่อ ทำไมจึงเชื่ออาตมาจะเล่าให้ฟัง”
     แต่เดิมมานั้นอาตมาไม่เคยเชื่อเรื่องเทวดาเพราะอาตมาไม่เคยสัมผัสนี่แล้วอาตมาจะไปเชื่ออย่างไร แต่เมื่อแม่ชีก้อนทอง ปานเณร อายุ 87 ปี มาบอกกับอาตมาว่าเทวดามาสอนสวดมนต์
     แม่ชีมาเรียนกรรมฐานอาตมาสอนให้เดินจงกลมให้พิจารณาเห็นหนอ แต่แม่ชีเดินจงกลมแล้วไปคิดถึงเทวดาไปเพ่งเทวดาเข้า เทวดาก็มาแกก็เก็บเงียบไว้แต่แล้วในที่สุดแกก็เก็บไม่ไหวต้องการให้มีใครสักคนได้รับรู้เอาไว้แกจึงมาถามอาตมาว่า
     “หลวงพ่อดิฉันเห็นเทวดาเจ้าคะ มาสอนสวดมนต์ให้ด้วยเจ้าคะ”
     “เทวดา เทวแดที่ไหนกันแม่ชีเอ๊ยอาตมาไม่เชื่อหรอกอย่ามาทำให้อาตมาเสียเวลาเปล่า ๆ เลย”
     แต่แม่ชีก็ว่าไม่ได้โกหกอาตมาก็ถามว่า เทวดานะมาตอนไหนเล่า แม่ชีก็บอกว่า
     “พอดิฉันได้ยินนาฬิกาตี 12 ทีเป็นเวลาเที่ยงคืนเทวดาก็ปรากฏให้ดิฉันเห็น ไม่ได้มาเปล่านะคะมาสอนให้ดิฉันสวดมนต์บทเมตตาใหญ่ ดิฉันก็จึงสวดได้”
     อาตมาก็บอกให้แม่ชีไปถามเทวดาว่าอยู่ที่ไหนวันรุ่งขึ้นแม่ชีก็มาเล่าให้ฟังว่า


ขอบคุณภาพจากเว็บไซด์ธรรมะไทย

     เทวดาอยู่ที่ต้นพิกุล ต้นพิกุลที่ว่านี้อาตมาถามผู้เชี่ยวชาญด้านต้นไม้ เช่นหลวงสมาน วรรณกิจ อดีตอธิบดีกรมป่าไม้ซึ่งได้มาที่นี่ ในตอนที่แม่ชีเห็นเทวดาประมาณ พ.ศ.2500 หลวงสมานว่าอายุกว่า 1000 ปี เทวดาบอกแม่ชีว่าเดินอยู่ข้างบนสวรรค์แล้วละเมิดกฎต่อนางฟ้าจึงถูกให้ลงมาอาศัยวิมานต้นพิกุลอยู่จนกว่าจะหมดกรรม แล้วก็บอกวันเวลาเอาไว้ชัดเจน อาตมาก็จดไว้แล้วก็เป็นจริง พอถึงเวลาก็เหมือนที่เทวดาให้สังเกตสังกา
     อาตมาก็ให้แม่ชีไปถามเทวดาว่า ไปชวนมนุษย์สวดมนต์ทุกบ้านหรือไม่เพราะอาตมาเริ่มจะเชื่อเพราะบทเมตตาใหญ่ที่แม่ชีสวดนี่อาตมาไปหาที่ไหน ๆ ก็ไม่เจอจนกระทั่งไม่รู้ว่าสมเด็จพระสังฆราช(แพ) วัดสุทัศน์ได้นำเอาไปต่อท้ายพุทธมนต์พุทธาภิเษก และตำรับนั้นไปตกอยู่กับพรพครูลมูลวัดสุทัศน์ฯ พระครูลมูลนี่เป็นศิษย์สมเด็จพระสังราชแพนะ ทำสมเด็จเนื้อผงดีมากนะ มีละก็เก็บกันเอาไว้ให้ดีเชียว
     อาตมาไปขอตำรับมาตรวจสอบที่วัดท่านพระครูลมูลบอกว่าไม่ได้ ๆ ตำรับนี้ของอาจารย์อาตมาให้ใครยืมไม่ได้ อาตมาก็บอกว่าไม่ได้เอาไปเลยแต่จะเอาไปสอบทานอะไรหน่อย แล้วก็เล่าความจริงให้ท่านฟังท่านก็ใจอ่อนบอกว่า เอ้าเอาไปเถอะให้ยืมเจ็ดวันแล้วเอามาส่งคืนนะ อาตมาก็เอามาเป็นตัวขอมทั้งนั้น อาตมาก็บอกแม่ชีว่ามาท่องให้อาตมาฟังหน่อยแม่ชีก็เริ่มท่อง แกก็อายุ 87 แล้วนี่นะ ก็ยานคางกว่าจะหลุดออกมาได้ตามประสาคนแก่
     โยมเชื่อไหมละว่าแม่ชีก้อนทองคนนี้เป็นคนไม่รู้หนังสืออ่านหนังสือไม่ออก ตัวขอมยิ่งไม่กระดิกใหญ่แล้วเมตตาใหญ่ที่แกท่องอาตมาก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย แกท่องด้วยความมั่นใจ อาตมาสอบกับต้นฉบับขอมของท่านพระครูลมูลปรากฏว่าไงรู้ไหมโยม


ขอบคุณภาพจากมติชน


     “ตั้งแต่ตัวแรกจนตัวสุดท้ายไม่ผิดเลย”
     อาตมาถามว่าเทวดาไปชวนคนสวดมนต์ทุกบ้านหรือเปล่าเทวดาบอกกับแม่ชีมาว่า
     “เปล่าบ้านไหนจัดที่บูชามีโต๊ะหมู่มีพระพุทธรูปตั้งไว้แล้วเจ้าของบ้านสวดมนต์เทวดาก็มาร่วมสวดมนต์ด้วย พระพุทธรูปเปล่า ๆ ที่ไม่ได้เข้าพิธีอะไรเช่าบูชามาจากเสาชิงช้าหากเจ้าของบ้านเอามาตั้งแล้วสวดมนต์ไหว้พระทุกวันด้วยใจศรัทธาเทวดามาสวดมนต์หนักเข้าก็เลยเข้าสิงรักษาองค์พระเอาไว้ก็เลยศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ทำให้เกิดสิริมงคลในครัวเรือน”
     หลวงพ่อพระพุทธโสธรนั้นคนกราบไหว้บูชากันมากเลยมีเทวดามารักษา 16 องค์ ทำให้เกิดอภินิหารนานาประการ พระพุทธรูปสำคัญ ๆ ก็มีเทวดารักษาทั้งนั้นแหละ
     เทวดาท่านว่าอย่างนั้นและเทวดาก็ว่าบ้านไหนมีพระพุทธรูปแต่ตั้งโชว์เทวดาก็ไม่ไปสวดมนต์เพราะร้อยวันพันปีไม่เคยทำวัตรสวดมนต์เทวดาก็ไม่มาผ่านเลยไปเลยมาไม่ลงมาสวดมนต์ คนเราก็มีเทวดารักษาคนดีมีศีลธรรมเทวดาที่ป็นบัณฑิตรักษา ถ้าคนชั่วขี้เหล้าเมายาทำชั่วเทวดาพาลพวกมิจฉาทิษฐิก็มารักษา
     อาตมาถามต่อไปว่าแล้วเวลาพระสัคเคกาเมจะรูเปเทวดาลงมาหรือไม่ เทวดาว่ารีบลงมาเทวดาบัณฑิตมาก่อนพอเห็นเจ้าภาพกินเหล้าเมาหง่ำกันในงานบุญก็เบ้หน้าแล้วกลับไม่ลงมาเทวดาพาลก็เข้ามาแทนที่เลยเกิดเรื่องเกิดราวกันตูมตามนั่นแหละ

จากหนังสือมหัศจรรย์ฉบับที่ 728 โดยดอน เจดีย์ชัย

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

หลวงพ่อจรัญ (ตอน 4)


ชมบ้านคนอื่นแต่ไม่ตื่นในบ้านตน

     หลวงพ่อจรัญท่านได้กล่าวต่อไปอีกว่า ผู้คนพากันไปชมบุญหลวงปู่หลวงพ่อต่าง ๆ ไปหาหลวงปู่แหวน ไปชมบุญบารมีแต่แล้วตัวเองกลับไม่ได้ใส่ใจเอาอย่างท่าน เหมือนกับคนไปเที่ยวได้ดูผลไม้ในสวนที่คนอื่นเขาปลูกจนดกมีสีสันและกลิ่นรสน่ารับประทานก็ยืนดูอย่างนั้นแล้วก็ไม่ได้อะไร ไปชมแล้วดูแล้วต้องกลับมาปลูกต้นมะม่วงนั้นที่บ้านให้เหมือนกับท่าน ท่านสอนท่านให้แนวธรรมะเอามาปฏิบัติแล้วให้ตัวเองมีกุศล

ขอบคุณภาพจากเพจพญานาค

     ไม่ใช่ว่าบ้านคนอื่นเขากวาดไว้สวยงามจัดโน่นแต่งนี่สวย ไปเห็นก็บอกว่าอู๊ยสวยจริงแต่บ้านตัวเองกลับรกรุงรังหยากใย่เต็มไปหมด โยมเอ๊ยจะไปสวรรค์ไปนิพพานกันน้ำลายไหลยืดเหมือนไปดูบ้านคนอื่นแล้วบ้านตนเองเล่า ร่างกายของตัวเองนะทำดีหรือยังมีศีลธรรมหรือเปล่า ได้ปฏิบัติกรรมฐานได้เจริญภาวนาให้ถูกทางบ้างหรือไม่ มีแต่กิเลสอย่างหยาบเต็มไปหมด แล้วจะไปสวรรค์ไปนิพพานได้อย่างไรกัน จัดบ้านคือตัวของตัวเองให้สะอาดแล้วก็จึงจะไปนิพพานไปสวรรค์ ก่อนไปต้องเจริญมนุษย์สมบัติให้เต็มก่อน

จากหนังสือมหัศจรรย์ฉบับที่ 728 โดยดอน เจดีย์ชัย

วันพุธที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

หลวงพ่อจรัญ (ตอน 3)


 รำลึกถึงความหลัง   

     ผู้เขียนได้ย้อนความไปถึงเมื่อหลวงพ่อพบกับอุบัติเหตุครั้งร้ายแรง หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม ท่านได้กรุณารื้อฟื้นความทรงจำว่า อาตมาจำได้ว่าเมื่ออาตมาปฏิบัติกรรมฐานและเดินจงกลม ก้าวย่างหนอ เห็นหนอ ยืนหนอ เดินหนอ ตั้งแต่เริ่มต้นที่ศูนย์จนก้าวหน้าไปด้วยปัญญา การปฏิบัตินั้นอาตมาปฏิบัติมาถึง 10 ปีเต็ม ๆ แล้วปัญญาก็บอกกับอาตมาว่า
     คุณจะต้องมรณภาพนะอีกหกเดือน อาตมาก็ดิ่งลึกเข้าไปก็พบอีกว่าคุณจะต้องประสบอุบัติเหตุอย่างร้ายแรง แล้วคอต้องหัก และมันร้ายแรงที่สุดเท่าที่เคยพบมา แล้วก็รู้ในปัญญาอีกว่าจะประคองชีวิตไว้อย่างไร
     อาตมาจึงสั่งเสียพระที่วัดว่าอาตมาจะต้องตายในอีกหกเดือน อาตมาสั่งเสียกิจการทั้งหลายเอาไว้เพื่อความไม่ประมาท อาตมาก็ไปพบอุบัติเหตุเข้าตรงกับวันเวลาที่ได้กำหนดรู้ด้วยปัญญาคือวันที่ 14 ตุลาคมเวลาเที่ยงสี่สิบห้าจะต้องคอหักแล้วไม่ได้กลับมาแน่ พอถึงเวลาจริง ๆ ก็เจอเข้าตูมเบ้อเร่อ


ขอบคุณภาพจากเพจพญานาค

     ตอนที่รู้ล่วงหน้านั้นปัญญายังได้บอกอีกว่ากรรมนี้เพราะไปหักคอนกที่ตอนยิงนก ที่อาตมาได้ถ่ายภาพไว้ในหอประชุมเมื่อตอนอาตมาอยู่ ม. 3 ก็เหมือนที่อาตมาเคยเล่าไว้นั่นแหละว่า คนเขาไปดูศพของอาตมาเพราะจากการที่กระดูกคอหักหนังหัวถลอกลงมาอย่างนั้นรอดยาก หมอเองก็บอกว่าตายแต่ปัญญาที่เราได้สะสมไว้จากการนั่งกรรมฐานและจงกลมด้วยเกษาโลมานักขาทันตาตะโจนั้นแหละบอกให้เราหายใจและเอาชนะความเจ็บปวดและความแตกร้าวทางร่างกายมาได้
     อาตมาขอฝากโยมไว้ข้อหนึ่งว่ากรรมฐานคือการหยั่งรู้คือการเจริญภาวนาให้มีสติทุกย่างก้าว ให้รู้ว่าเรากำลังทำอะไร เช่นเดินหนอ เห็นหนอ ได้ยินหนอ โกธรหนอ พอโกธรหนอนี่ต้องรีบถอนทิ้งเลยอย่าให้โกธรหนอตั้งแต่วันนี้ไปถึงวันพรุ่งนี้ไม่เอานะ บวชชีพราหมณ์โกธรกันตั้งแต่ก่อนบวชพราหมณ์พอออกจากบวชแล้วก็ยังโกธรอยู่อย่างนี้ ที่นี่สอนแบบใช้สติ

จากหนังสือมหัศจรรย์ฉบับที่ 728 โดยดอน เจดีย์ชัย

วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

หลวงพ่อจรัญ (ตอน 2)

        หลวงพ่อจรัญได้ฝากมายังบรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองบุตรหลานทั้งหลายว่า "เจริญพรเวลานี้อาตมาสอนเด็กหัวจุกหัวเปียเป็นส่วนใหญ่ให้สวดมนต์ไหว้พระ ท่านผู้เป็นพ่อแม่ก็ควรฝึกลูกหลานให้รู้จักสวดมนต์แต่เล็ก ๆ อย่ารีรอให้โตเพราะอาตมามีหลักว่านกที่อยู่ในกรงนั้นสอนง่ายกว่านกที่หลุดออกนอกกรงนอกจากสอนไม่ได้แล้วยังเถียงอีกด้วยนี่มันเจ็บตรงนี้ สำคัญตรงนี้ เขายังสอนเด็กให้เขาสวดมนต์ท่องนะโมอิติปิโสถึงสุปฏิปันโนแล้วจะได้อะไร อาตมาจะบอกให้
     1.มีระเบียบวินัยในตัวเอง เห็นพระสงฆ์ยกมือไหว้เองไหว้สวยด้วย เห็นคนเฒ่าคนแก่ก็ยกมือไหว้
     2.รู้จักการเชื่อฟังพ่อแม่ผู้ใหญ่ไม่เถียงหรือขึ้นเสียง
     3.รู้จักฐานะของตนเองได้อย่างดีว่าอยู่ในฐานะอะไร วางตัวได้เหมาะสมที่สุด รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ยำเกรงความมีอาวุโส ไปลามาไหว้
     4.เมื่อโตขึ้นก็รู้จักครองตัวเองให้เป็นคนดีมีศีลธรรมไม่เหลวแหลกในชีวิต ไปเมืองนอกเมืองนาคนเดียวไม่ต้องมีใครดูแลเขารู้จักดูแลตัวเองได้

ขอบคุณภาพจากเว็บไซด์ธรรมะดีดอทคอม

     อย่าเลี้ยงลูกให้โตเป็นต้นตาลยอดสูงโด่เด่แต่ไม่มีฐานรากแก้วอะไรเลย มีแต่รากฝอย อาตมาขอฝากโยมช่วยบอกไปยังพ่อแม่ทั้งหลายด้วย ช่วยกันสร้างเยาชนที่มีพระในใจไม่งั้นประเทศชาติจะเดือดร้อน เพราะเยาชนรุ่นที่จะโตขึ้นไปปกครองบ้านเมืองจะเป็นคนที่ขาดศีลธรรมไม่มีคุณภาพในตัวเองทำแต่ความชั่ว อันนี้อาตมาเป็นห่วงอันตรายเหลือเกิน โยมอาตมาขอฝากไปด้วย"

ข้อมูลจากหนังสือมหัศจรรย์ ฉบับ 728 โดยดอน เจดีย์ชัย








วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม

เอาคุณพระมาใส่ตัวไม่กลัวภัย
     หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม ท่านเป็นพระที่มีเมตตาต่อคนทั่วไปและเป็นพระผู้มีแนวคิดอันน่าฟังน่าศึกษาและน่าจะนำมาปฏิบัติ ข้อหนึ่งก็คือ สิ่งที่ท่านได้บอกกับผู้เขียนว่า
     "เจริญพรขอให้โยมช่วยบอกชาวพุทธเราทั่ว ๆ ไปนะว่า คนเรานั้นกลัวเคราะห์หามยามร้าย กลัวโชคร้ายและกลัวภัยต่าง ๆ แล้วก็เที่ยวได้ไปให้อาจารย์โน้นต่อชะตา ให้อาจารย์นี้ตัดกรรม แต่ละเลยไม่ยอมเอาคุณพระมาเข้าตัวเองนี่มันผิดหลัก"

หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม
ภาพจากบ้านผมเอง(กฤษฎา)

       "เอาพระมาเข้าตัวอย่างไรขอรับหลวงพ่อ"
       "ง่ายมากโยมก็หมั่นสวดมนต์ไหว้พระซีโยม สวดอิติปิโสภะคะวา สวากขาโต สุปฏิปันโน สวดเข้าไว้ มีเวลาก็สวดให้ได้ทุกวันระลึกถึงคุณพระเอาไว้ พาหุงสหัสทั้งบท สวดเข้าไปซีทำไมไม่สวด ไปสะเดาะเคราะห์ต่ออายุกันเข้าไปแล้วไม่ได้มาสวดมนต์ไหว้พระ อาตมาไม่ได้เอาเท็จมาพูด ไปสวดมนต์บ้านหนึ่งคนแก่คนเฒ่ามีกันอยู่มากมาย จะหาใครอาราธนาศีลอาราธนาพระปริตไม่ได้เลย อาตมาก็ขัดใจว่าทำไมหนออยู่กันมาตั้งอายุก็มากไม่ใส่ใจกันเลย ก็พอดีเห็นเด็กคนหนึ่งอยู่ในงานนั้นแหละอาตมาก็บอกว่า
       "อ้ายหนูอาราธนาศีลได้ไหม อาราธนาพระปริตได้ไหม"
       "ได้ครับ ผมทำได้เพราะผมเรียนโรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ครับ"
       เป็นอันว่าผู้ใหญ่หัวหงอกทั้งบ้านสู้เด็กเมื่อวานซืนไม่ได้ การสวดมนต์ถวายพรพระนั้นท่านให้ทำด้วยจิตศรัทธา ไม่ใช่ต้องบังคับ ต้องให้เอาช้างมาฉุดเอารถไปลาก อย่างนี้ทำก็ไม่ได้ผลแต่ถ้าทำด้วยศรัทธาละก็อาตมากล้ารับประกันว่า

ภาพนี้สังเกตุผิวกายของท่านจะผ่องใส่ ผิวกายละเอียดมาก ย่อมหมายถึงผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ หลวงปู่ทิมวัดละหารไร่ก็มีผิวกายเช่นนี้อีกรูปหนึ่งครับ เท่าที่ผม(กฤษฎา)สังเกตุเห็น

       สวดพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ แล้วสวดพาหุงสหัสจนถึงมหาการุณิโก จากนั้นสวดอิติปิโสภะคะวา ถึง พุทโธภะคะวาติเพียงบทเดียว สวดอย่างไร อายุเท่าใดก็สวดเกินกว่าอายุ 1 จบ หมายความว่า ถ้าอายุครบเบญจเพศ 25 กลัวจะเกิดเคราะห์ ก็สวดเสีย 26 จบ สวดทุกวันอย่าให้ขาดนะรับรองพ้นเคราะห์ แต่ถ้าถึงที่ตายจริงนะโยมแม้จะตายก็จะตายด้วยอาการอันสงบและไปสู่สุขคติภูมิแน่นอน ไม่ใช่อายุ 25 แล้วไปต่ออายุแต่ไม่สวดมนต์เลยอย่างนี้ก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน" (ติดตามตอนต่อไปครับ)

ขอบคุณข้อมูล จากหนังสือมหัศจรรย์ฉบับที่ 728โดย ดอน เจดีย์ชัย
       








วันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2561

พระกริ่งปวเรศ

     พระกริ่งปวเรศสร้างโดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศฯ วัดบวรนิเวศ เมื่อประมาณปี พ.ศ.2400 ต้น ๆ ว่ากันว่าเป็นสูตรการสร้างพระกริ่งตกทอดมาจาก พระพนรัตน์วัดป่าแก้ว (ในสมัยกรุงศรีอยุธยา)  คือเป็นแบบโลหะผสม 9 ชนิดหรือนวโลหะ เป็นกริ่งแบบปิดฝาที่ก้น เชื่อกันว่าเมื่ออาราธนาแล้วแช่น้ำมนต์จะรักษาโรคได้ โดยเฉพาะโรคอหิวาต์ (โลหะที่ผสมไว้เมื่อเจอน้ำจะทำให้น้ำมีคุณสมบัติรักษาโรคได้) ประกอบกับพุทธคุณซึ่งเกจิอาจารย์ผู้สร้างได้ปลุกเสกร่วมด้วย








     พระกริ่งปวเรศจะมีโค้ดเมล็ดงาที่ใกล้ ๆ ฐานบัวด้านหลัง โลหะที่ใช้ปิดก้นหรือใต้ฐานพระจะเป็นทองแดง หรือทองเหลืองก็ได้ สนนราคาถ้าสวยสมบูรณ์จะตกที่ 30 ล้านบาท จำนวนการสร้างอยู่ระหว่าง15-30องค์ เนื่องจากการสร้างน้อยจึงหายากมาก ส่วนมากผู้สร้างจะแจกให้เชื้อพระวงศ์ เป็นส่วนใหญ่ น้องที่รู้จักกันเล่าว่าเพื่อนเขาเคยไปเหมาพระตามบ้านได้มาองค์หนึ่งค่อนข้างสึก เซียนใหญ่ที่ห้างแถวงามวงค์วาน สนใจขอต่อรองราคาและเช่าไปในที่สุด 


พระกริ่งปวเรศจากคมชัดลึก

     ต่อมาตำราการสร้างได้ตกทอดมาถึงท่านเจ้ามาวัดสามปลื้ม และมาถึงสมเด็จพระสังฆราชแพวัดสุทัศน์

ขอบคุณภาพประกอบจากสนามพระฉบับที่ 69 และคมชัดลึก
     

     เพิ่มเติมข้อมูล

      พระกริ่งปวเรศ กำเนิดขึ้นในช่วงปี พ.ศ.2417-พ.ศ.2425 ผู้สร้างคือ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ แห่งวัดบวรนิเวศวิหาร ตามตำนานวัดบวรนิเวศวิหารกล่าวว่า พระกริ่งนี้สร้างขึ้นเมื่อใด จำนวนเท่าใด ไม่พบหลักฐาน สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เคยรับสั่งเล่ารวมใจความเท่าที่มีผู้กำหนดได้ว่า พระกริ่งปวเรศนั้น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ทรงสร้างขึ้นเพื่อถวายเจ้านาย มีจำนวนน้อยไม่เกิน 30 องค์
พระกริ่งปวเรศ องค์ดั้งเดิมที่วัดบวรฯ เก็บรักษาไว้
     ในตำนานวัดบวรฯยังกล่าวอีกว่า...พระกริ่งปวเรศสร้างจำนวนน้อยไม่เกิน 30 องค์ (บางท่านก็ว่าสร้างเพียง 9 ถึง 10 องค์เท่านั้น) แต่หลวงชำนาญ (หุ่น) สมุห์บัญชีในกรมของพระองค์ (ซึ่งเป็นไวยาวัจกรวัดในสมัยที่ทรงครองวัดและสืบมาจนถึงสมัยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงครองวัดในเบื้องต้น) ได้ขอประทานพระอนุญาตนำแบบพิมพ์ไปสร้าง ได้ไปสร้างอีกเท่าไรไม่ทราบ...
     ร.อ.หลวงบรรณยุทธชำนาญ นักนิยมพระเครื่องชั้นครูในอดีต ผู้เขียนตำราพระเครื่องคนแรกของประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ.2488 กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า...พระกริ่งปวเรศได้สร้างเป็นสองคราว คราวแรกอุดก้นด้วยทองแดง คราวที่สองอุดก้นด้วยทองเหลือง


ด้านหลังพระกริ่งปวเรศ(คนละองค์กับวัดบวรฯ)

     นั่นหมายความว่าพระกริ่งปวเรศที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงสร้างขึ้นนั้น เป็นชนิดที่อุดก้นด้วยทองแดงเท่านั้น และมีพุทธลักษณะแบบเดียวกับพระกริ่งปวเรศองค์ตัวอย่าง ที่ทางวัดบวรนิเวศได้เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีตั้งแต่อดีตกระทั่งได้ตกทอดมาถึงปัจจุบัน
     พุทธลักษณะ พระกริ่งปวเรศเป็นพระได้เค้าแบบมาจากพระกริ่งของจีน องค์พระประทับนั่งมารวิชัยบนบัวสองชั้น 7 กลีบ และมีบัวหลังเพิ่มอีก 1 กลีบ สร้างด้วยโลหะสัมฤทธิ์ (นวโลหะ) เนื้อในออกสีจำปา สนิมตามผิวออกสีน้ำตาลแก่อมดำ ด้านก้นฐานอุดด้วยแผ่นทองแดงบุ๋มเป็นแอ่งกระทะ ภายในบรรจุเม็ดกริ่งไว้ เขย่าเสียงดัง ที่ด้านข้างของกลีบบัวด้านหลังตอกโค้ดเม็ดงาเอาไว้ด้วย พระกริ่งปวเรศบางองค์ได้ผ่านการแต่งของช่างก็มี กระนั้นพุทธลักษณะขององค์พระต้องอยู่ในแนวเดียวกัน


พระรูปหล่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศฯ

     พระกริ่งปวเรศเป็นที่ลำ่ลือถึงความศักดิ์สิทธิ์สูงเยี่ยมในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเมตตามหานิยม แคล้วคลาด รวมทั้งนำมาทำน้ำมนต์รักษาโรคได้ขลังยิ่ง ดังนั้นพระกริ่งปวเรศ ชนิดก้นทองแดง จึงมีราคาเช่าหาสูงถึง 40 ล้านบาทเลยทีเดียว
     ทางด้านหนังสือพระยอดนิยม ฉบับที่ 35 พูดถึงประเด็นเม็ดกริ่งไว้ว่า "เม็ดกริ่ง หรือ ผลคุณ นั้น สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ทรงจารึกพระนาม พระพุทธเจ้าในอดีต 6 พระองค์คือ พระวิปัสสี พระสิขี พระเวสสภู พระกุกุสันโธ พระโกนาคม พระกัสสปะ จารึกลงในแผ่นโลหะสัมฤทธิ์ และหลอมโลหะนั้นให้ละลายตัว แล้วจึงหยดลงในน้ำพระพุทธมนต์ ประทุมนิมิตร ปัญจสุทธินที เมื่อโลหะที่ละลายตัวถูกน้ำพระพุทธมนต์ก็จะจับตัวแข็งเป็นเม็ดโลหะเล็ก ๆ ซึ่งได้นำมาบรรจุเข้าในพระกริ่งนั้นต่อไป"


เรียบเรียงโดยกฤษฎา ปาลีเรียม จากหนังสือเซียนพระฉบับที่ 350


วันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ผู้เฒ่าหนังเหนียว

     กรณีคนงานผู้ดูแลสวนอัมพร ควักปืน 11 มม.ยิงกระหน่ำใส่ผู้ควบคุม เป้ากระสุนนั่งเฉยมีร่องรอยแค่ปื้นแดง ๆ ปรากฏการณ์ดังกล่าวทำให้ คุณแก้วขวัญ วัชรโรทัย เลขานุการสวนอัมพร รุดพบเพื่อขอดูพระที่ห้อยคอซึ่งมีอยู่ 9 องค์
     เรืออากาศโท ขุนไสว บรรยากาศ อดีตคือผู้ดูแลพระที่นั่งไกลกังวล เป็นคนเก่าคนแก่ที่มีคนนับหน้าถือตามากโดยเฉพาะการดูแลรักษาสถานที่ราชการ เมื่อท่านเกษียณราชการก็ได้เข้ามาควบคุมดูแลสถานที่และคนงานในวังสวนอัมพร
     ท่านเป็นนายทหารระเบียบวินัยเข้มงวด สนองนโยบายราชการเต็มที่ ที่สวนอัมพร มีคนงานผู้ดูแลอยู่มากหน้าหลายตา และหลายครอบครัวก็ปลูกเพิงพักอาศัยอยู่ภายใน ท่านในฐานะผู้ดูแล เห็นว่าไม่สมควรที่จะไปปลูกที่พักอาศัยในสถานที่ราชการ


เรืออากาศโทขุนไสว บรรยากาศ

     จึงขอร้องให้คนงานรื้อถอนออกไปหาที่อยู่ใหม่ เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย เพราะเรื่องดังกล่าว ทำความไม่พอใจให้กับคนงานภายในคือ นายสุรศักดิ์ เจริญสุขเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งพ่อตาของนายสุรศักดิ์ ปลูกบ้านอยู่ข้างใน พูดง่าย ๆ คือ แค้นแทนพ่อตาที่ถูกรังควาญ 
     อยากจะถอนรากถอนโคนท่านขุนไสวให้พ้นสภาพหนามยอกอก
ความยั๊วะซ่อนอยู่ภายในเนิ่นนานเมื่อปะเหมาะเคราะห์ดี ฤกษ์ดาวโจร 31มีนาคม2531 เขาก็ลงมือปฏิบัติการ ขณะที่ท่าน ขุนไสว บรรยากาศ กำลังเพลิน ๆ อยู่กับการอ่านหนังสือพิมพ์ สุรศักดิ์ เจริญสุข ก็ชัก 11 มม.จ่อยิงตรงหัวใจ
     ช่วงนั้น นายประเสริฐ (ไม่ทราบนามสกุล) คนงานลูกน้องคนหนึ่งของท่านขุน เห็นเหตุการณ์เช่นนั้น เลยกระโดดเข้าล็อคคอ พอดีกับนิ้วชี้กดที่ไกปืนลั่นเปรี้ยง กระสุนแฉลบจากหน้าอกลงตรงช่วงหน้าท้อง สิ้นเสียงปืนทุกคนหน้าซีดคิดว่ายังไง ๆ ซะ ท่านขุนคงรอดยากเพราะพิษสงของ 11 มม.ร้ายแรงน้อยเมื่อไหร่
     เหมือนไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ท่านขุนละหนังสือพิมพ์วางไว้ที่พื้นกล่าวว่า "เฮ้ยมึงยิงกูทำไม" ไม่มีเสียงสะทกสะท้านใด ๆ ผู้อยู่ใกล้เหตุการณ์ก็ช่วยกันล็อคคอนาย สุรศักดิ์ เจริญสุข ส่งให้ตำรวจ สน.ดุสิต มี ร.ต.อ.เอก เฟื่องฟุ้ง เป็นร้อยเวร

ภาพรอยกระสุนที่ไม่ระคายผิว ขุนไสว บรรยากาศ

     นอกเหนือจากคุณ แก้วขวัญ วัชรโรทัย ให้ความสนใจในความหนังเหนียวของ ขุนไสว บรรยากาศ แล้ว คุณวัลลภ สุขขำ ผู้ควบคุมดูแลพระที่นั่งอัมพรสถานยังมาขอดูพระเครื่องที่ห้อยคอ ซึ่งมีอยู่ถึง 9 องค์
     ขุนไสวเองก็ไม่ทราบว่าบุญญาบารมีของหลวงพ่อองค์ใดปกปักรักษาแก ไม่ว่าจะเป็น หลวงพ่อทวด สมเด็จวัดระฆัง แหวนหลวงพ่อวัดไร่ขิง และอื่น ๆ อีกหลายองค์ เรื่องนี้เป็นเรื่องเหลือเชื่อแต่ไม่ใช่การบอกเล่าจากตำนาน ผู้อยู่ในเหตุการณ์ทุกท่านยังมีชีวิตอยู่ พร้อมให้พิสูจน์
     หากท่านใดอยากทราบว่า ท่านขุนไสว บรรยากาศ รอดมาได้ยังไง แว๊บไปสวนอัมพร สนทนากับท่านได้ทุกเวลา ส่วนนาย สุรศักดิ์ เจริญสุข ปัจจุบันถูกคุมขังอยู่ลหุโทษ คลองเปรม ข้อหาพยายามฆ่า รับกรรมที่ก่อต่อไป

(เรื่องและภาพจากหนังสืออินไซด์ทีวี ฉบับท้าพิสูจน์ พฤษภาคม 2531)
     
     

วันอาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

พุทธคุณจากพระเครื่องหลวงปู่ทวด

     พระเครื่องหลวงปู่ทวดนับจากการสร้างครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2497 นับว่าเป็นพระเครื่องที่มีประสบการณ์สูง มีผู้คนเคารพศรัทธามาก พระเครื่องที่สร้างขึ้นนี้มีว่านและดินกากยายักษ์เป็นสำคัญ สำเร็จโดยการร่วมมือของ พระอาจารย์ทิมวัดช้างให้ พระอาจารย์นองวัดทรายขาว คุณอนันต์ คณานุรักษ์ ได้พร้อมใจกันสร้างเพื่อสมทบทุนบูรณะวัดช้างให้ พระเครื่องดังกล่าวมานี้เมื่อทำพิธีปลุกเสกได้ทำการอัญเชิญดวงพระวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่ทวดลงมาปลุกเสกพร้อมทั้งอดีตสมภารเจ้าอาวาสภายในวัดช้างให้ และเทพยดาทั้งหลายลงมาประสิทธิ์ความขลังแก่องค์พระเครื่อง และได้ทำดังนี้มาทุกครั้งที่ทำการสร้างพระเครื่องหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดจนเป็นที่มาของความศักดิ์สิทธิ์หลวงปู่ทวด มีการกล่าวกันว่าพระหลวงปู่ทวดนั้นแม้ว่าสร้างขึ้นเป็นรูปสมมติมิได้มีการปลุกเสกก็นับว่ามีความขลังความศักดิ์สิทธิ์อยู่ภายในตัวเป็นอย่างดีแล้ว ทั้งนี้เนื่องจากว่ารูปสมมติของผู้ที่มีบุญญาธิการนั้นย่อมเป็นกายสิทธิ์ในตัวเอง มีฤทธิ์ในตัวเองอย่างเพียบพร้อม ยิ่งเมื่อได้ทำการขออนุญาตอย่างถูกต้องยิ่งเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์เพิ่มขึ้นอีกมากมาย


หลวงปู่ทวดวัดช้างให้ ภาพจากเว็บพลังจิต

     พระเครื่องหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดนั้นมีพุทธคุณเรียกว่าครอบจักรวาลก็ได้ คือดีเด่นในทุกด้านดังจะของสรุปมาดังนี้
     1. ผู้พกพาไว้ย่อมไม่ตายโหง ปราศจากอันตรายทั้งปวงทั้งจากอุบัติเหตุทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ แคล้วคลาดปลอดภัย
     2. เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ย่อมเป็นคงกระพันแก่ผู้นั้น
     3. งูพิษ ตะขาบ อสรพิษทั้งปวง สัตว์ที่มีเขี้ยวงาไม่สามารถทำอันตรายได้
     4.  ในกรณีที่มีผู้ถูกงู ตะขาบ แมลงป่องต่อยสามารถอาราธนาพระเครื่องหลวงปู่ทวดทำการดูดพิษได้
     5. เมื่อยามที่ตกน้ำโดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำทะเลผู้ที่มีประสบการณ์คล้องพระหลวงปู่ทวดหลายรายต่างประจักษ์ในพุทธคุณว่าน้ำที่สำลักเข้าปากไปนั้นกลายเป็นน้ำจืดทั้งสิ้นไม่มีความเค็มของน้ำทะเลหลงเหลืออยู่เลย
     6. มีความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน ทั้งนี้เพราะหลวงปู่ทวดท่านนั้นเมื่อสมัยที่ยังดำรงขันธ์อยู่ได้รับพระราชทานยศเป็นถึงเจ้าสามีราม ผู้ที่นับถือย่อมพลอยได้อานิสงส์ข้อนี้ตามไปด้วย
     7. เป็นเสน่ห์เมตตามหานิยม ด้วยอำนาจแห่งพรหมวิหาร 4 ที่ท่านบำเพ็ญเป็นพระโพธิสัตว์
     8. สามารถอาราธนาองค์พระทำน้ำพระพุทธมนต์รักษาอาการไข้ทั้งหลายด้วยอำนาจพุทธคุณ บารมีหลวงปู่ทวด
     9. เป็นสื่อมงคลสำหรับผู้ที่ปฏิบัติกรรมฐานเมื่อน้อมจิตไปที่หลวงปู่ทวดท่าน หรือพระเครื่องของท่านย่อมยังสมาธิให้ตั้งได้ไว้และบังเกิดความชำนาญทั้งความดื่มด่ำจากกระแสพลังงานหลวงปู่ท่านที่แผ่ออกจากองค์พระเครื่อง
     10. เป็นสื่อแห่งมงคลทั้งปวง ชีวิตย่อมนำพาความสำเร็จอย่างสูงสุดทั้งทางโลกและทางธรรม

(ขอบคุณ ข้อมูลจากหนังสือบูรพาปาฏิหารย์ฉบับที่ 80)
     

พญาครุฑ

ครุฑ (สันสกฤต: गरुड) เป็นสัตว์ในนิยายในประมวลเรื่องปรัมปราฮินดูและปรากฏในวรรณคดีสำคัญหลายเรื่อง เช่น มหาภารตะ เล่าว่า ครุฑเป็นพี่น้องกับนาคแ...