วันจันทร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2562

พระกริ่งอาจารย์ไสว

         อาจารย์ไสว แห่งวัดราชนัดดา กรุงเทพฯ ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะเป็นผู้เชี่ยวชาญพีธีกรรมการสร้างพระกริ่ง-พระชัยวัฒน์ ได้รับเชิญไปเป็นเจ้าพิธีการเทพระกริ่งมากมายหลายรุ่น อย่างองค์ที่นำมาให้ชมในหน้านี้ องค์แรกคือ พระกริ่งนเรศวรวังจันทร์ จัดสร้างที่เมืองพิษณุโลกในปี พ.ศ. 2507 พุทธลักษณะเป็นแบบฐานบัวชั้นเดียว ด้านหลังระบุชื่อพระกริ่งนเรศวรไว้ที่ฐานด้านหลัง ใต้ฐานตอกโค้ดธรรมจักรและหมายเลขกำกับไว้ กระแสเนื้อเป็นนวโลหะจะดูจัดจ้านกลับดำมันวาวครบสูตร



พระกริ่งนเศวรวังจันทร์

พระกริ่งนเรศวรวังจันทร์

ใต้ฐานพระกริ่งนเรศวรวังจันทร์

      องค์ถัดมาคือ พระกริ่งที่อาจารย์ไสวจัดสร้างที่วัดราชนัดดา รูปแบบพิมพ์ทรงจะมีลักษณะเดียวกับพระกริ่งนเรศวรวังจันทร์ พ.ศ.2507 แต่จะแปลงรูปแบบให้ดูแตกต่างไปบ้างคือ ทำเป็นแบบบัวรอบชั้นเดียว เหนือบัวชั้นเดียวจะทำเป็นบัวขีด เป็นร่องลึกลากตรงลงไปจรดฐานบัว ราวนมด้านขวาจะตอกตุ๊ดตู่คล้ายโค้ดวงกลม ใต้ฐานจารอักขระตัว อิ กระแสเนื้อนวโลหะกลับดำสนิทตามสูตรของท่าน

พระกริ่งอาจารย์ไสววัดราชนัดดา กรุงเทพฯ


พระกริ่งอาจารย์ไสววัดราชนัดดา กรุงเทพฯ


ใต้ฐานพระกริ่งอาจารย์ไสววัดราชนัดดา กรุงเทพฯ

ที่มาหนังสือคเณศ์พร ฉบับที่ 185  ปี 2553

พระปิดตาหัวบานเย็น หลวงพ่อวัดหนัง

     
พระปิดตาหัวบานเย็น

   
พระปิดตาหัวบานเย็น
  
     พระปิดตาหัวบานเย็น สร้างจากผงหัวบานเย็น มีรูปลักษณ์เป็นพระมหาอุตม์แบบครึ่งซีก คือ พระปางปิดทวารทั้งเก้า ด้านหลังแบนราบไม่ปรากฏรายละเอียดใด ๆ พระปางปิดทวารทั้งเก้ามีพระพาหาสามคู่ พระพาหาคู่บนยกขึ้นปิดพระพักตร์ พระพาหาคู่กลางแนบลำตัวยกขึ้นปิดพระกรรณ และพระพาหาคู่ล่างปิดทวารล่าง

     การเพาะหัวบานเย็นของหลวงพ่อวัดหนัง ท่านจะให้ศิษย์เตรียมดินใส่กระถางไว้ห้าใบ กระถางแต่ละใบเพาะเมล็ดหัวบานเย็นสองเมล็ด การเพาะต้องถือฤกษ์วันแรมหนึ่งค่ำเดือนแปดคือวันเข้าพรรษา เมื่อนำเมล็ดหัวบานเย็นลงเพาะในดินแล้วหลวงพ่อให้ศิษย์ตักน้ำใส่ขันมาให้ท่านเสกรดทั้งห้ากระถาง หลังจากนั้นต้องรดด้วยน้ำเสกทุกเช้าเย็น โดยเฉพาะตอนเช้าเมื่อท่านล้างหน้าก็จะเสกน้ำรดด้วยทุกครั้งจนกระทั่งออกพรรษา ต้นบานเย็นจะแตกกิ่งก้านงดงาม

    เมื่อหลวงพ่อปวารณาพรรษาเสร็จท่านให้ศิษย์ขุดหัวบานเย็นทั้งหมดขึ้นมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วฝานเป็นชิ้นบาง ๆ นำไปตากให้แห้ง แล้วนำมาบดละเอียด ใช้เคล้าผสมกับผงวิเศษที่ท่านได้เตรียมไว้ บางส่วนผสมกับรักก็มี จากนั้นจึงปั้นเป็นก้อนนำลงกดในแม่พิมพ์ เมื่อเสร็จเป็นองค์พระแล้วหลวงพ่อจึงปลุกเสกอีกครั้ง


     พระปิดตาหัวบานเย็น เนื้อค่อนข้างเหนียวแน่นจับตัวกันดี ผิวมีความหนึกมัน ส่วนใหญ่มีสีขาวนวลอมเหลือง แต่ละองค์มีสีอ่อนแก่แตกต่างกันได้

ที่มาหนังสือหลวงพ่อวัดหนัง ศึกษาและสะสม ฉบับพิเศษ

พระเครื่องเนื้อตะกั่ว

      
พระหูยานลพบุรี จากเว็บข่าวสด

       พระเครื่องเนื้อตะกั่ว อย่าได้มองข้ามเพราะว่าได้มีการสร้างมาแต่โบราณ ไม่ว่าจะเป็นพระหูยานลพบุรี พระร่วงหลังรางปืนสุโขทัย พระชินราชใบเสมาพิษณุโลก พระท่ากระดานกาญจนบุรี โดยเฉพาะพระหูยานว่ากันว่า ได้พบเจอที่พระมาลาเบี่ยงของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชด้วย สมัยที่ญวนเรืองอำนาจ กษัตริย์ญวนสั่งให้ไทยเอาบรรณาการไปถวาย ไทยส่งพระมาลาเบี่ยงของสมเด็จพระนเรศวรไปให้ กษัตริย์ญวนเกรงพระบารมีสมเด็จพระนเรศวร มีรับสั่งให้เอาคืนไปทันที


พระหลวงพ่อเนียมเนื้อตะกั่ว จากเว็บพระล้านนา


      ว่ากันว่าเนื้อตะกั่วเป็นพระเครื่องที่ซึมซับมนต์คาถาที่ปลุกเสกได้ดีที่สุด เกจิที่ดัง ๆ ที่มีการสร้างพระเครื่องเนื้อตะกั่ว เช่นหลวงพ่อเนียมวัดน้อย หลวงปู่เอี่ยมวัดหนัง (พระปิดตา) เก่ากว่านั้นก็หลวงปู่ศุขวัดมะขามเฒ่าชัยนาท พระเนื้อตะกั่วบางครั้งเรียกชิน เนื้อชินตะกั่วคือผสมระหว่างตะกั่วกับดีบุก แต่ตะกั่วเยอะกว่า เนื้อชินเงินคือผสมระหว่างตะกั่วกับดีบุก แต่ดีบุกเยอะกว่า (คุณต้อยเมืองนนท์อธิบายไว้) 




พระปิดตาข้าวตอกแตก หลวงปู่เอี่ยมวัดหนัง จากเว็บพระ

    
ด้านหลังมีจารด้วย จากเว็บพระ


       ส่วนตัวผม(กฤษฎา)ชอบพระเนื้อตะกั่วครับ แต่ชอบสุดคือ เนื้อผง ดิน ว่าน ตามลำดับ ใครเจอพระเนื้อตะกั่วพิธีดี ๆ ก็ควรเก็บไว้นะครับ เช่นพระลองพิมพ์ต่าง ๆ พระลองพิมพ์คือก่อนปั้มเหรียญเขาจะลองพิมพ์ก่อนโดยใช้เนื้อตะกั่ว บางครั้งก็สร้างเนื้อตะกั่วเลยก็มี แต่มีน้อย

เหรียญหล่อกรมหลวงชินวรสิริวัฒน์

       
ขอบคุณภาพจากเว็บพระ


ขอบคุณภาพจากเว็บพระ


       กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้าพระองค์ที่ 11 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดราชบพิตรสถิตมหาสีมาราม เหรียญหล่อนี้สร้างในปี พ.ศ.2481 การปลุกเสกนั้นถือได้ว่าสุดยอดจริง ๆ เพราะได้รวมสุดยอดพระเกจิที่ดัง ๆ ในสมัยนั้นไว้มากมาย โดยเฉพาะ "จาด จง คง อี๋" คือหลวงพ่อจาด หลวงพ่อจง หลวงพ่อคง หลวงพ่ออี๋ ถ้าพิธีใดมี 4 หลวงพ่อนี้วางใจได้เลยครับ โดยเฉพาะด้านความเหนียว เพราะท่านเป็นอมตะเถราจารย์ที่มากด้วยความสามารถ (ดูได้จากภาพถ่ายรวมพระเกจิที่มาปลุกเสกในพิธี)


ขอบคุณภาพจาก amulet2u.com
   
   ด้านหน้าของเหรียญเป็นรูปสมเด็จฯด้านหลังเป็นรูปพระแก้วมรกต มีเรื่องเล่าอยู่ว่าเคยมีคนลองเอาเหรียญนี้ไปคล้องคอไก่แล้วยิงด้วยปืนผลปรากฏว่ายิงออกแต่ไม่โดน จ่อยิงยังไงก็ไม่โดนไก่วิ่งหนีเลย อิอิ ตอนลองเขาก็ไมรู้ว่าเหรียญเกจิใด มีคนสอบถามเขา ๆ บอกว่าเป็นเหรียญพระสังฆราชด้านหลังเป็นพระแก้วมรกต




วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2562

พระโมคคัลลานะดับไฟนรก


     พระโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธเจ้า และเป็นเลิศกว่าภิกษุอื่นในด้านฤทธิ์ ซึ่งพระพุทธองค์ทรงยกย่องให้เป็นเอตทัคคะคือเป็นหนึ่งในด้านฤทธิ์ เมื่อพระโมคคัลลานะสำเร็จทางจิตบรรลุมรรคผลนิพพานพร้อมด้วยคุณวิเศษแล้ว ท่านใคร่จะรู้ว่ามารดาของท่านที่สิ้นไปแล้วนั้นอยู่ ณ สถานที่ใดภพภูมิใด

     เมื่อท่านเข้าฌาณอธิษฐานจิตดูจึงทราบว่ามารดาของท่านไปอยู่ในนรกเพราะเมื่อสมัยที่มารดาของท่านยังมีชีวิตนั้น ได้ประพฤติตนเป็นมิจฉาทิฐิ ไม่เชื่อเรื่องบุญเรื่องบาป ไม่นิยมการทำทาน การไหว้พระ เมื่อเป็นดังนี้ พระโมคคัลลานะจึงแสดงฤทธิ์ลงไปโปรดนรก ในครั้งนั้นเกิดเหตุอัศจรรย์ด้วยฤทธิ์ของพระโมคคัลลานะ คือ สภาพนรกที่เคยมืดมิดไม่มีแสงใด ๆ จะเล็ดลอดเข้ามาถึงได้ ก็บังเกิดเป็นแสงสว่างเย็นตาน่าชื่นใจ ความร้อนหมกไหม้ภายในนรกก็ดับลง น้ำร้อนในกระทะต่างก็กลายเป็นน้ำเย็นและมีรสหวานดุจน้ำผึ้ง เมื่อพระโมคคัลลานะไปถึงนรกก็แสดงธรรมโปรดมารดาพร้อมด้วยสัตว์นรกตนอื่น ๆ สัตว์นรกต่าง ๆ พลอยได้อานิสงส์จากการโปรดมารดาของพระโมคคัลลานะ จนทำให้ได้ไปผุดไปเกิดตามสุคติภูมิที่สูงขึ้นไป พร้อมด้วยมารดาของพระโมคคัลลานะในครานั้น

     เมื่อพระโมคคัลลานะขึ้นมาจากนรกนั้น ปรากฏว่ามีเปลวไฟนรกติดชายจีวรเป็นเพียงเม็ดไฟเม็ดเล็ก ๆ เท่านั้น ไฟนรกนี้ไม่สามารถทำอันตรายพระโมคคัลลานะได้ เพราะท่านมีบุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์ แรกทีเดียวเปลวไฟนรกที่ติดขึ้นมานี้เล็กมากจนท่านไม่สังเกตุเห็น พอท่านไปบิณฑบาตรเท่านั้นก็เกิดอุบัติเหตุขึ้นเพราะโยมที่มาใส่บาตรไปถูกเปลวเล็ก ๆ ของไฟนรกเข้า ปรากฏว่าเปลวไฟเล็ก ๆ ประดุจเม็ดไข่ปลานั้นเกิดแผลงฤทธิ์ไหม้โยมผู้นั้นเป็นจุณมหาจุณในพริบตาเดียว พระโมคคัลลานะเห็นดังนั้นจึงรีบกลับไปนรกเพื่อเอาไฟนรกที่เล็กเพียงนิดเดียวนั้นไปคืน

     เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่า ไฟนรกเพียงเม็ดไข่ปลานั้นยังมีฤทธิ์ดั่งไฟกรด มีอานุภาพยิ่งกว่าไฟในโลกหลายล้านเท่านัก

จากหนังสือเปิดนรกหลังความตาย โดยอ.บูรพา ผดุงไทย ขอขอบคุณมาณ.ที่นี้ด้วยครับ

วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2562

เหตุที่ทำให้ตกนรก


     ในคัมภีร์ไตรภูมิพระร่วงได้อธิบายแยกแยะไว้ถึงบาปอันทำให้ต้องไปเกิดในนรกว่ามีด้วยกัน 12 ประการคือ

     1.ใจไม่รู้ว่าการกระทำนั้นเป็นบาปและกระทำบาปนั้นด้วยฝีมือของตนเอง ด้วยใจกล้าและยินดี
     2.ใจไม่รู้ว่าเป็นการกระทำบาปแล้วยินดีกระทำบาปเมื่อมีผู้ชวน
     3.ใจรู้ว่าเป็นบาปแล้วกระทำบาปนั้นด้วยตนเองด้วยใจกล้าและยินดี
     4.ใจรู้ว่าบาปแล้วยินดีกระทำบาปเมื่อมีผู้ชวน
     5.ใจไม่รู้ว่าเป็นบาปและกระทำเมื่อมีผู้ชวนและกระทำด้วยใจอันโหดร้าย
     6.ใจอันหนึ่งรู้ว่าเป็นบาปแล้วกระทำเองด้วยใจประกาย
     7.ใจอันหนึ่งรู้ว่าบาปแลมีผู้ชวนให้กระทำด้วยใจอันประกาย
     8.ใจอันหนึ่งประกอบด้วยโกธรขึ้งเครียดกระทำบาปด้วยใจอันกล้าเองแลร้าย
     9.ใจอันหนึ่งประกอบด้วยโกธรขึ้งเครียด กระทำบาปเพื่อเหตุมีผู้ชวน
     10.ใจอันหนึ่งบ่มิเชื่อบาป บ่มิเชื่อบุญ แลกระทำบาปด้วยใจอันประกาย และใจอันหนึ่งย่อมขึ้นไปฟุ้งดังกองเท่า อันคนเอาก้อนเส้าทอดลง ย่อมจมลงทุกเมื่อและกระทำบาปด้วยใจอันประกาย
     11.ใจอันหนึ่งมิรู้ว่าบาป และกระทำบาปเองด้วยใจอันกล้าเลวดี หมายความว่า ทำบาปด้วยตัวเอง จิตของคนเราทำบาปเองเลยด้วยความเต็มใจ จิตเป็นอกุศลทำไปโดยมิต้องมีคนอื่นมากระตุ้นให้ทำก็ทำ คือรู้ว่าเป็นบาปแล้วก็ทำเองด้วย
     12.ใจอันหนึ่งมิรู้ว่าบาป แลยินดีกระทำบาปด้วยมีผู้ชวน คือกระทำบาปเพราะมีผู้ชวนให้ทำ

     จากลักษณะอาการทางใจ 12 ประการดังที่กล่าวมานี้ การกระทำอันถือว่าก่อให้เกิดบาปนั้นยังแบ่งได้ 10 ประการด้วยกัน ทางพระท่านเรียกว่าอกุศลกรรม 10 ประการแบ่งเป็นหมวดได้สามหมวด คือทางกาย วาจา และใจ โดยเรียงลำดับได้ดังนี้

     1.การประพฤติผิดทางกาย มีด้วยกันสามประการ
          1.1การฆ่าสัตว์
          1.2การลักทรัพย์
          1.3การประพฤติผิดในกาม
     2.การประพฤติผิดทางวาจามีด้วยกันห้าประการ
          2.1มุสาวาท (โกหก)
          2.2การกล่าวคำส่อเสียด
          2.3การกล่าวคำติฉินนินทาผู้อื่น (เป็นบาปที่เกิดจากคำพูด)
          2.4การกล่าวคำหยาบช้า
          2.5การกล่าวคำเพ้อเจ้อ สรุปแล้วเป็นเรื่องวาจาทั้งหมด
     3.การประพฤติผิดทางใจ มีด้วยกันสองข้อ
          3.1ความเห็นผิดจากครรลองคลองธรรม
          3.2การอยากได้ของผู้อื่น

     ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดบาปด้วยกันทั้งสิ้น แน่นอนว่าหากผู้ใดประพฤติตัวทางกาย วาจา ใจ เข้าข่ายลักษณะที่กล่าวมานี้ เบื้องหน้าที่ไปย่อมมีนรกภูมิเป็นที่รอเป็นที่รับดวงวิญญาณอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้แน่นอน

ผู้สนใจควรค้นคว้าเพิ่มเติมเพราะผมนำเสนออาจไม่ละเอียดพอ

จากหนังสือเปิดนรกหลังความตาย โดยอ.บูรพา ผดุงไทย ขอขอบคุณมาณ.ที่นี้ด้วยครับ

วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2562

กรรมที่ทำให้มาสู่นรกขุมต่าง ๆ


1.ฆ่ามนุษย์ไปสัญชีวนรก กาฬสุตตนรก
2.ฆ่าสัตว์ไปสังฆาฎนรก โรรุวนรก
3.ลักทรัพย์ไปมหาโรรุวนรก
4.เผาบ้านเรือนไปตาปนรก
5.มิจฉาทิฐิหมายถึง การคิดว่าบาปบุญคุณโทษไม่มีไม่เคยเชื่อเรื่องที่พระ ครูบาอาจารย์สั่งสอน ความคิดเช่นนี้ต้องไปมหาตาปนรก
6.อนันตริยกรรม คือการทำผิดมหันต์ 5 ประการได้แก่ การทำให้พระพุทธเจ้าโลหิตทุบาท (ห้อเลือด) การฆ่าพระอรหันต์ การฆ่าบิดามารดา การทำให้สงฆ์เกิดการแตกแยก การกระทำเหล่านี้ส่งผลให้ไปอเวจีนรก



    สัตว์นรกที่ได้เคยประกอบอกุศลกรรมอันร้ายกาจและหยาบช้าลามกนัก คือ เมื่อครั้งที่เขาเป็นมนุษย์ได้เคยทำการประทุษร้ายทรมานบิดามารดาผู้ให้กำเนิดตน เพราะเหตุที่เป็นคนปราศจากกตัญญูกตเวทีมีตามืดบอดมองไม่เห็นคุณท่านแม้แต่นิดหนึ่ง เมื่อเกิดความไม่พอใจขึ้นมาก็ทุบตีเตะถีบและด่าทอเอาตามอัธยาศัย อีกประการหนึ่งนั้นไซร้ได้เคยประกอบกรรมอันชั่วหนักไว้ คือ ประทุษร้ายพิฆาตท่านผู้ทรงศีลทรงธรรมไม่นำพาต่อบาปบุญคุณโทษคล้ายกับเป็นคนวิกลจริตเป็นบ้า ทั้ง ๆ ที่ตนก็เป็นมนุษย์มีรูปทรงสุดสง่าดีกว่าหมูหมาเป็ดไก่ซึ่งเป็นสัตว์เดียรัจฉานมากมายนัก จะได้ไปโลกันตนรก

จากหนังสือเปิดนรกหลังความตาย โดยอ.บูรพา ผดุงไทย และเว็บไซด์winnew.tv ขอขอบคุณมาณ.ที่นี้

โลกันตนรก


      นิรยภูมิ หรือโลกนรกนี้ นอกจากจะมีมหานรก อุสสุทนรก และยมโลกดังกล่าวมาแล้ว ยังมีนรกขุมพิเศษอีกขุมหนึ่งซึ่งมีนามว่า โลกันตนรก อันว่าโลกันตนรกนี้เป็นขุมยิ่งใหญ่ แปละประหลาดกว่าบรรดาขุมนรกทั้งหลายเพราะอยู่ภายนอกจักรวาล สถานที่ตั้งของโลกันตนรกนี้อยู่ในจักรวาล ๓ โลก ถ้าจะเปรียบให้เห็นเป็นมโนภาพก็เหมือนกับเอาดอกปทุมชาติ ๓ ดอกมาตั้งชิดติดกัน ก็จะเกิดมีช่องว่างขึ้นในตอนกลางจักรวาล ต่าง ๆ ก็ตั้งชิดติดกันเช่นกับดอกปทุมชาติ ๓ ดอกนั้น
      ตรงช่องว่างเว้นอยู่ในระหว่าง ๓ โลกจักรวาลนั้นเอง เป็นสถานที่ตั้งแห่งนรกขุมพิเศษนี้ เพราะฉะนั้น นรกขุมพิเศษนี้จึงมีชื่อว่า โลกันตนรก นรกขุมนี้พิเศษอันอยู่สุดโลกจักรวาล 
      ก็ในโลกันตนรกนี้ มีสถาพมืดสนิท แสงดาวแสงเดือนและแสงตะวันส่องไปไม่ถึง เป็นสถานที่อันมืดมนนอนธการ  เปรียบปานเช่นกับคนหลับตาในคราวเดือนดับข้างแรมฉะนั้น
       สัตว์ที่ไปอุบัติเกิดในโลกันนรกนี้ ย่อมมีสภาพแปลกประหลาดพิลึก คือ มีสรีระร่างกายโตใหญ่เป็นยิ่งนักปานภูเขาใหญ่ ประกอบไปด้วยเล็บมือและเล็บเท้ายาวเหลือประมาณ ต้องใช้เล็บมือและเท้าเกาะอยู่ตามเชิงเขาจักรวาลห้อยโหนโยนตัว โดยเอาหัวปักลงมาข้างล้างชั่วนิรันดร์ เปรียบปานดังค้างคาวห้อยหัวอยู่บนกิ่งไม้ในมนุษย์โลกที่เราเห็นนี้ฉะนั้น ครั้นเขาได้ประสบการณ์อันแสนจะทรมานด้วยความมืดมากเช่นนี้ เขาก็ได้เแต่รำพึงรำพันอยู่ในใจว่า
อโห กรรม ...อโห กรรม....ทำไมตูจึงเป็นอย่างนี้ และ ทำไมตูจึงมาอยู่ที่นี่ ชะรอยที่นี่จักมีแต่เพียงตูเพียงผู้เดียวกระมังหนา
       เขาไม่ได้อยู่แต่เพียงผู้เดียวดอก มีอยู่มากมายที่สัตว์บุคคลทั้งหลายตายแล้วไปเกิดที่มันมืดแสนมืด มองไม่เห็นเพื่อนสัตว์นรกโลกันตนรกด้วยกัน และมองไม่เห็นอะไรเลยนั้นเอง
       ตลอดเวลาเหล่าสัตว์นรกโลกันตนรกไม่ต้องทำอะไร มีแต่จะห้อยโหนโยนตัวเปะปะด้วยความหิวโหยอย่างเหลือประมาณ ครั้นปีนป่ายตะกายไปถูกต้องตีนมือแห่งกันและกันเข้าแล้ว ก็สำคัญว่าตนมีชะตาผ่องแผ่วโชคดีเจออาหารซึ่งปรารถนาอยากจะกินมานาน จึงต่างก็ดีเนื้อดีใจ มิกิริยาขวนขวายไขว่คว้าฉวยจับกันและกันแม้กระทั่งกัดกินแขนของตนเอง โดยต่างตนต่างก็จะตะครุบกันกินเป็นอาหาร 
       ต่างก็ปล้ำฟัดกันเพื่อจะจับกินเป็นภักษาหารอยู่อย่างนี้ ในไม่ช้าก็เผลอปล่อยมือและเท้าที่ใช้เกาะเชิงชายภูเขาจักรวาลนั้นเลยกันดำดิ่งนรกพลัดตกลงไปเบื้องล้าง โดยลักษณะการมีหัวปักดินลงมาและมีตีนชีฟ้า ลอยละลิ้วลงมาอย่างน่าหวาดเสียว
       สถานที่เบื้องล่างที่เขาพากันพลัดตกลงมานั้นมันไม่ใช่เป็นพื้นที่ธรรมดาโดยที่แท้เป็นทะเลนำกรดอันเย็นยะเยือก ซึ่งมีความเย็นอย่างร้ายกาจยิ่งนักครั้นเขากอดคอกันพลัดตกลมา พอถึงพื้นน้ำกรดนั้นแล้ว บัดเดี๋ยวใจตัวตนร่างกายของเขาก็เปื่อยพังแหลกลาญลงอย่างไม่มีชิ้นดี ทั้งนี้ก็เพราะว่าถูกน้ำกรดนรกอันมีความเย็นอย่างร้ายกาจนั้นกัดเอาร่างกายอันใหญ่โตและเหม็นสาบเหม็นสางน่าเกลียดน่าชังของเขา ถึงความเหลวแหลกละลายเพราะฤทธิ์น้ำกรดไปอย่างรวดเร็วประดุจดังก้อนอุจจาระที่ตกไปในน้ำ
      ครั้นแล้วด้วยอำนาจกรรมบันดาล เขาก็กลายเป็นสัตว์ประหลาดมหัศจรรย์กลับเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาอย่างเก่า ให้รู้สึกหนาวเย็นและเจ็บปวดอย่างลึกเป็นกำลัง จึงรีบตะเกียกตะกายปีนป่ายขึ้นมาเกาะเชิงเขาจักรวาลด้วยความลำบากยากเย็น แล้วก็ห้อยโหนโยนตัวแสวงหาอาหารด้วยความหิวโหยต่อไปอีกตามเดิม 
      ครั้นตะกายไปพบปะกันเข้า ก็ตั้งหน้าตั้งตาแต่จะตะครุบกันกินด้วยความสำคัญผิดคิดว่าเป็นภักษาหาร แล้วก็กอดคอพากันพลัดตกลงไปในทะเลน้ำกรดเย็นกัดกินร่างกายอย่างทรมาน และแล้วก็กลับเป็นขึ้นมามาตามเดิมอีก พวกเขาเฝ้าเวียนรับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสอยู่เช่นนี้ไม่มีวันสิ้นสุด โน่นแหละชั่วพุทธันดรหนึ่งนั้นแล จึงอาจจะพ้นทุกข์โทษไปจากขุมนรกโลกันต์นี้ แต่บางตนก็อาจหลายพุทธันดร
 แม้โลกันตนรกจะเป็นนรกขุมใหญ่ที่มืดสนิทไม่มีแสงเลย แต่จะมีแสงเกิดขึ้นแว้บหนึ่งทำให้สัตว์นรกมองเห็นกัน จึงรู้ว่ามีสัตว์นรกอื่นอยู่ด้วยมากมายได้นั้นก็ต่อเมื่อมีเหตุการณ์สำคัญ ๕ เหตุการณ์หรือ ๕ ครั้ง ได้แก่

๑. เมื่อพระโพธิสัตว์ทรงปฏิสนธิในครร์ภ์พระมารดา
๒. เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติ
๓. เมื่อพระโพธิสัตว์ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
๔. เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาเรื่องธัมมจักรกัปปวัตนสูตร (ธรรมจักร)
๕. เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเสด็จปรินิพพาน 

ที่มา winnews.tv

ยมโลกนรก


     สัตว์นรกทั้งหลาย เมื่อได้เสวยทุกข์โทษในมหานรก และอุทสุทนรกตามที่ได้กล่าวมาแล้วหากกรรมยังไม่หมดสิ้น ก็จำต้องไปเสวยกรรมในนรกอีกประเภทหนึ่งซึ่งมีชื่อเรียกว่า “ยมโลกนรก” ซึ่งยมโลกนรกนี้ตั้งอยู่ในสถานที่ต่อจากอุทสุทนรก เป็นนรกบริวารของมหานรกทั้งแปด โดยมหานรกแต่ละขุมนั้น มียมโลกนรกล้อมเป็นบริวารอยู่ทิศบูรพา 10 ขุม ทิศอุดร 10 ขุม ทิศประจิม 10 ขุม และทิศทักษิณอีก 10 ขุม รวมทั้งสี่ทิศ ก็เป็น 40 ขุมพอดี มหานรกมีอยู่แปดขุม ขุมหนึ่ง ๆ จะมียมโลกนรกล้อมรอบเป็นบริวารชั้นนอก 40 ขุม จึงรวมเป็นยมโลกนรก ทั้งหมด 320 ขุม

จากหนังสือเปิดนรกหลังความตาย(อ.บูรพา ผดุงไทย)

วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2562

นรกขุมย่อย


นรกบริวาร (อุสสุทนรก)

     การลงทัณฑ์ในนรกนั้นหลังจากที่สัตว์นรกได้รับโทษทัณฑ์อยู่ในมหานรกแล้ว ยังคงต้องไปรับกรรมต่อในนรกขุมย่อยหรือนรกบริวาร ที่มีชื่อเรียกว่า “อุสสุทนรก” อีก การรับกรรมในนรกขุมนี้มาจากอำนาจเศษกรรมของสัตว์นรกเหล่านั้น นรกบริวารจึงเสมือนสถานที่ขัดเกลาจิตใจของเหล่าสัตว์นรกให้ดีขึ้น เพียงพอที่จะเลื่อนไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่าจนกระทั่งมีโอกาสได้ไปเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง

     อุสสุทนรก คือนรกขุมย่อย ซึ่งตั้งอยู่บริเวณประตูของมหานรกทุกประตู อุสสุทนรกนี้ล้อมรอบเป็นบริวารมหานรกทั้งแปด มหานรก ๆ ละ 16 ขุม เพราะฉะนั้นอุทสุทนรกนี้ จึงมีอยู่รวมด้วยกันทั้งหมดมากถึง 128 ขุม คือ

     1.ล้อมรอบสัญชีวมหานรก 16ขุม
     2.ล้อมรอบกาฬสุตตมหานรก 16 ขุม
     3.ล้อมรอบสังฆาฎมหานรก 16 ขุม
     4.ล้อมรอบโรรุวมหานรก 16 ขุม
     5.ล้อมรอบมหาโรรุวมหานรก 16 ขุม
     6.ล้อมรอบตาปมหานรก 16 ขุม
     7.ล้อมรอบมหาตาปมหานรก 16 ขุม
     8.ล้อมรอบอเวจีมหานรก 16 ขุม

     จึงรวมเป็นอุสสุทนรกทั้งสิ้น 128 ขุม


     จากหนังสือเปิดนรกหลังความตาย(อ.บูรพา ผดุงไทย)

วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2562

มหานรกแปดขุม


     1.สัญชีวนรก เป็นที่อยู่ของสัตว์นรกที่ต้องถูกประหารด้วยดาบฟาดฟันให้ตาย แล้วก็กลับฟื้นขึ้นมาและถูกฟันให้ตายอีก เป็นเช่นนี้อยู่ตลอดเวลา

     2.กาฬสุตตนรก เป็นที่อยู่ของสัตว์นรกที่ต้องถูกตีเส้นด้วยเส้นเชือกสีดำ ซึ่งทำด้วยเหล็กแล้วถูกถากถูกเลื่อยให้ตัวสัตว์นรกนั้นต้องขาดเป็นชิ้น ๆ แล็วก็กลับฟื้นขึ้นมาอีก สร้างความทรมานให้กับสัตว์นรกเป็นอย่างยิ่ง

     3.สังฆาฎนรก เป็นที่อยู่ของสัตว์นรกที่ถูกภูเขาเหล็กที่สูงใหญ่ มีเปลวไฟอันลุกโพลงบดให้ละเอียดเป็นจุณไป

     4.โรรุวนรก เป็นที่อยู่ของสัตว์นรกที่ต้องถูกทรมานด้วยควันไฟให้เข้าไปสู่ทวารทั้งเก้าทำให้ร้องด้วยเสียงอันดัง

     5.มหาโรรุวนรก เป็นที่อยู่ของสัตว์นรกที่ต้องถูกไฟเผาตามทวารทั้งเก้าทำให้ต้องร้องครวญครางด้วยเสียงอันดังมาก

     6.ตาปนรก เป็นที่อยู่ของสัตว์นรกที่ต้องถูกตรึงด้วยหลาวเหล็กอันร้อนแดงและถูกไฟเผาอีกด้วย

     7.มหาตาปนรก เป็นที่อยู่ของสัตว์นรกที่ต้องไต่ขึ้นไปบนภูเขาเหล็กที่กำลังร้อนแดง แล้วตกลงไปสู่หลาวที่อยู่ข้างล่างทั้งถูกไฟเผาอีกด้วย

     8.อเวจีนรก เป็นที่อยู่ของสัตว์นรกที่ต้องถูกตรึงอยู่ด้วยหลาวเหล็กอันร้อนแดงทั้งสี่ด้านและต้องถูกไฟเผาอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย

     มหานรกทั้งแปดขุมนี้ แต่ละขุมตั้งอยู่ห่างกันหนึ่งหมื่นห้าพันโยชน์ แต่ละขุมจะมีประตูทั้งสี่ทิศ ทิศละหนึ่งประตู รวมแปดขุมจึงมี 32 ประตู แต่ละประตูจะมีพระยายมราชประจำอยู่ประตูละหนึ่งพระองค์ ดังนั้นจึงมีพระยายมราชรวมทั้งสิ้น 32 พระองค์ด้วยกัน

จากหนังสือเปิดนรกหลังความตาย(อ.บูรพา ผดุงไทย)

วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2562

พระเครื่องหลวงพ่อทวดยอดนิยม


     พระอาจารย์ทิมวัดช้างให้สร้างพระหลวงพ่อทวด

สร้างพระบูชาหลวงพ่อทวดเนื้อว่าน

ครั้งแรกสร้างปี พ.ศ.2497
ครั้งที่สองสร้างปี พ.ศ.2502
มีขนาด นิ้วครึ่ง สามนิ้ว เจ็ดนิ้ว
(เนื้อว่านสร้างน้อย)

สร้างพระบูชาเนื้อโลหะ

พ.ศ.2502 หน้าตักเจ็ดนิ้ว
พ.ศ.2503-2512หน้าตักห้านิ้ว
พ.ศ.2507มีหน้าตักห้านิ้วและหกนิ้ว
(หกนิ้วเรียกพิมพ์หน้าแก่)

ความนิยมหลวงพ่อทวดวัดช้างให้ (พิมพ์หล่อ)

1.นิยมเอ
2.พิมพ์บี พิมพ์ซี
3.พิมพ์นิยม กลางปั้มซ้ำ (มีเฉพาะเนื้อแดง)
4.พิมพ์อาปาเช่ (มีเฉพาะเนื้อแดง)
5.พิมพ์หน้าแหงน (มีเฉพาะเนื้อแดง)
พระปั้มปี 05 (หลังหนังสือ)
เล่นเนื้อเหลืองและแดง ถ้ามีรมดำจะดูง่ายกว่า ถ้าไม่มีรมดำบางคนไม่เล่น

หมายเหตุ ไม่ลงรูปประกอบเพราะส่วนหนึ่งรูปมีลิขสิทธิ์

วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ปาฏิหาริย์หลวงปู่ทวดของน้อยกมลวาทิน (ตอนจบ)


     มีอีกเรื่อง อันนี้เด็ด ตอนนั้นผมทำงานเป็นนายตรวจรถ อยู่บริษัทเฟี้ยต เสร็จแล้วผมต้องเป็นคนขับรถโชว์เพราะมีรถของบริษัทเฟี้ยตเป็นส่วนหนึ่งของรถในนั้น คือรถต่างประเทศ นอกนั้นมีรถประเภทต่าง ๆ อีกมากมาย มีซาบ มีฟอร์ด ฯลฯ ในบริษัทที่ผมทำเป็นบริษัทใหญ่ มีฝรั่งอยู่ตั้ง 70 คน มีผมคนเดียวที่เป็นคนไทย วันหนึ่งบริษัทให้เอารถเฟี้ยตไปลองให้ลูกค้าดู ในระหว่างที่ขับเลี้ยวจะเข้าบริษัท มีรถคันหนึ่งขับฝ่าไฟแดงมาชนรถยนต์ที่ผมขับมาจนเกือบหักเป็นท่อน แต่ผมไม่เป็นอะไรเลย ฝรั่งที่อยู่ในรถยังตกใจเลย มันนึกว่าจะตายเหมือนกัน รถถูกชนซะหักเลย ชนข้าง ผมลงมาเอ็ดตะโรลั่นเลย คนขับรถยนต์คันที่มาชนผมหน้าซีดขาวเหมือนกับผีเลย คิดว่าเราคงตายแน่ แต่ปรากฏว่าผมกับลูกค้าที่นั่งมาด้วยกันกลับไม่เป็นอะไรเลย นี่แหละครับอภินิหารของหลวงปู่ฯ ผมคิดว่าถ้าเป็นคนอื่นคงตายไปแล้วเพราะชนกันแรงมาก ชนซะรถผมเกือบขาดเป็นท่อน นี่ก็เป็นปาฏิหาริย์ของหลวงปู่ฯ เหมือนกันเพราะผมห้อยอยู่องค์เดียว ฝรั่งมันมองผม ผมก็มองมัน เพราะผมเชื่อในความปลอดภัยเชื่อในอภินิหารของท่านมาโดยตลอด และผมถืออย่างหนึ่งว่าถ้าจะออกจากบ้านหรือก่อนนอน ผมจะต้องสวดมนต์ตลอด ต้องสวดมนต์แล้วขอท่านตลอด ก็ไม่ได้ไปกวนท่านมากแต่เรานับถือท่านมาก เราต้องถือเอาท่านเป็นหลัก จนถึงเดี๋ยวนี้ผมยังห้อยพระอยู่องค์เดียวนี้แหละ

ข้อมูลจากหนังสือประวัติศาสตร์หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดโดยชุมศักดิ์ นรารัตน์วงศ์


วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ปาฏิหาริย์หลวงปู่ทวดของน้อยกมลวาทิน(ตอน 3)


     มีเหตุการณ์อื่น ๆ อีกที่เจอมา 

     อย่างแฟนผมที่อยู่ด้วยกันเคยท้องเสียอย่างรุนแรง ท้องเสียกระทั่งลืมตัว 4-5 ชั่งโมง แกลืมตัวจนไม่รู้พูดอะไรเลอะเทอะไปหมด จำตัวเองไม่ได้ เค้าเรียกทวารเปิด ผมก็ขอหลวงปู่ หยุดอีกเหมือนกัน หายไปเลยทั้ง ๆ ที่ตอนแรกว่าจะพาไปโรงพยาบาลแล้ว ผมบอกว่าเดี๋ยวถ้าไม่ไหวไปโรงพยาบาลกันนะ แต่พูดไปตอนนั้นแกไม่รู้เรื่องแล้ว บอกมาอยู่อะไรที่นี่ แกนึกว่าอยู่นิวยอร์ค ผมบอกไม่ใช่ ที่นี่อย่ในโครงการเมืองทองธานีที่เมืองไทย เลอะเทอะหมดเลย พูดไม่รู้เรื่อง ผมไม่กล้าเอาไปตอนแรกเพราะกลัวว่าจะไปถ่ายในรถ เดี๋ยวยุ่งกันใหญ่ เลยขอให้แกสวดมนต์ 

เหรียญหลวงปู่ทวด เหรียญทองรุ่นปี 2502

     แกก็สวดของแกนะแต่จำไม่ได้ ผมต้องบอกทีละคำให้ท่องตาม ไปขอหลวงปู่ ไปนอนอยู่บนโซฟาหน้าตู้พระ ผมบอกเห็นหรือเปล่านั่นหลวงปู่ฯ หลวงปู่ทวด ให้ว่าตามพ่อนะ พ่อจะสวดมนต์ให้บอกขอหลวงปู่ฯ เถอะอย่าให้เป็นอะไรไปเลยพวกเรากลัวเพราะอายุมากแล้ว ปรากฏว่าหยุดครับ หลับไปนะ พอตื่นขึ้นมาแกถามว่ามาอยู่เมืองไทยหรือนี่มาถามผม ผมก็งง พอรุ่งเช้าลุกได้มานั่งมองหน้ากัน นี่ถือเป็นอภินิหารของท่าน ของอย่างนี้เขาเรียกว่าทวารเปิดไงครับ ลืมหมด ลืมตัวแล้ว บางคนผู้ใหญ่บอกว่าถ้าขืนปล่อยไว้แบบนี้จะตายไม่รู้ตัวนะ นี่เป็นเรื่องที่เกิดในครอบครัวผม ในระหว่างที่ผมอยู่ผมก็อยู่ได้ด้วยหลวงปู่ฯ เรียกว่าไปอยู่ที่อเมริกาตั้ง 20 กว่าปีตั้งแต่ผมอายุเพียง 30 ปีได้อาศัยหลวงปู่ฯ คอยช่วยเหลือตลอด

น้อย กมลวาทิน ผู้อำนวยการสร้าง ผู้กำกับ เขียนบท ลำดับภาพ บันทึกเสียง


ติดตามตอนต่อไป

ข้อมูลจากหนังสือประวัติศาสตร์หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดโดยชุมศักดิ์ นรารัตน์วงศ์


วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ปาฏิหาริย์หลวงปู่ทวดของน้อยกมลวาทิน(ตอน 2)


     ตอนนั้นได้มาอย่างไร ผู้เขียนถาม

     คือตอนนั้นผมเป็นกรรมการวัดรุ่นที่ 2 ตอนที่ไปครั้งแรกได้เนื้อว่านมา รุ่นนี้ผมก็ไปเป็นกรรมการวัด ช่วงนั้น สุนนท์ คณานุรักษ์ เป็นกรรมการใหญ่อยู่ ผมไปแล้วบังเอิญเอาหนังไปพากย์ไปกับยายแดง ไปพากย์หนังที่ปักษ์ใต้เสร็จแล้วก็ไปเที่ยวกันที่ตลาดไปเจอพระที่ผมห้อยคอไว้นี่เป็นทอง 2 องค์นะครับ  ของผมหนักบาทหนึ่ง แล้วมีอีกองค์หนัก 75 ตังค์ นอกนั้นเป็นนาก 7 องค์ กับเหรียญเป็นเสมาเงินอีกราว ๆ สัก 12 องค์ เท่าที่ผมจำได้ไปเจออยู่ในร้านทอง ร้านทองเขาทำบล็อกขึ้นมาปั้ม เสร็จแล้วผมไปบอกกับพี่นนท์ ตอนนั้นเขาเป็นนักเลงใหญ่อยู่ที่ยะลา ผมบอกไปดูซิร้านทองนี้มีเหรียญหลวงพ่อทวดอยู่ในร้านตั้งหลายองค์จึงตัดสินใจเดินทางไปดูด้วยกัน เอากล้องไปส่องดู หลังจากนั้นขอซื้อเลย ขนาดเจ้าของยังตกใจ เจ้าของร้านตกใจเพราะเราเหมาหมดทั้งบล็อกด้วย หลังจากนั้นผมก็นำไปเข้าพิธีเลย รุ่น 2 ที่ผมห้อยคออยู่ องค์หนึ่งผมให้ลูกสาวไป ลูกสาวให้หลานผมห้อยคอต่อ เด็กคนใช้สมัยเมื่อ 30 ปีก่อนแกเอาไปเลย จนเหลือที่ผมอยู่เพียงองค์เดียว ไม่ได้เลี่ยมอะไรไว้ด้วย ห้อยไว้เฉย ๆ พรรคพวกบางคนบอกว่าทำไมไม่เลี่ยม เดี๋ยวก็สึกหมด ผมบอกผมห้อยมาอย่างนี้ตั้ง 40 ปีแล้วไม่เห็นสึกหรอเลย เป็นเรื่องอัศจรรย์ แปลกดี

ติดตามตอนต่อไป
ข้อมูลจากหนังสือประวัติศาสตร์หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดโดยชุมศักดิ์ นรารัตน์วงศ์

วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ปาฏิหาริย์หลวงปู่ทวดของ(น้อย กมลวาทิน)


     ครั้งแรกตอนนั้นผมอยู่ที่อเมริกาเส้นโลหิตฝอยแตกทำให้เลือดกำเดาไหลไม่หยุด ตั้งแต่ 11 โมงกลางคืนจนถึงตี 5 ตอนนั้นผมอยู่ในนิวยอร์ค เลือดนี่หยดติ๋ง ๆ ไหลออกมาจากจมูกตลอด ต้องเอากระโถนรองไว้ เสร็จแล้วหลานสาวผมโทรศัพท์เรียกรถพยาบาลฉุกเฉินจากโรงพยาบาลชื่อโรงพยาบาลจาไมก้า ระหว่างที่ผมคอยไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะว่าเลือดชักออกมากขึ้น จึงตัดสินใจอธิษฐานถึงหลวงปู่ทวดสวดนะโมโพธิสัตโต 3 จบ ขอให้หายเถอะ จะทนไม่ไหวแล้ว แต่ตอนนั้นกำลังใจผมยังดี เอาสำลีอุดจมูกไว้ 2 ข้าง หายใจทางปาก แล้วลงมารอรถพยาบาลอยู่ด้านล่างริมถนน พอรถพยาบาลมาถึงผมดึงเอาสำลีที่อุดจมูกออก ไม่มีอะไรสักหยด

เลือดไม่มีเลยเหรอ ผู้เขียนถาม

     ไม่มีเลยผมเองยังตกใจ เชื่อว่าเป็นเพราะผมขอหลวงปู่ฯ ไว้ เสร็จแล้วรถพยาบาลมาแล้วผมก็ขึ้นไป พอไปถึงโรงพยาบาลหมอไปเอ็กซเรย์ตรวจ หมอหาว่าผมล้อเล่นบอกว่า Are you kidding me ? ผมบอกไม่ได้ล้อเล่น เพิ่งจะมาหยุดตอนที่ถึงโรงพยาบาลได้ประมาณหกโมงเช้า หมอไม่เชื่อ บอกว่าตรวจแล้วไม่เห็นมีอะไร นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ผมโดนกับตัวผมเอง และผมก็ห้อยหลวงปู่อยู่องค์เดียว เป็นเหรียญทองรุ่นปี 2502

ติดตามตอนต่อไป
ข้อมูลจากหนังสือประวัติศาสตร์หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดโดยชุมศักดิ์ นรารัตน์วงศ์

วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

พลังพระป่าสยบฤทธิ์เหล็กไหล


      หลวงปู่จันทร์ดี เกสาโว เล่าถึงการเดินธุดงค์ไปกับ หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ และ หลวงปู่ชม เพื่อข้ามไปฝั่งประเทศลาว เพื่อไปดูเหล็กไหล ที่ถ้ำสระบัวประเทศลาวว่า " กลุ่มของพระอาจารย์เสาร์เดินธุดงค์ไปจากเมืองไทย ได้ลงมติว่า ขืนปล่อยให้มีเหล็กไหลปรากฏอยู่เช่นนี้ ก็คงจะทำลายต่อผู้ที่โลภโมโทสันอยู่ตลอดไป จึงเดินทางไปถ้ำสระบัว ที่ภูเขาควาย เพื่อไปดูเหตุการณ์และตัดไฟแต่ต้นลม" ท่านกล่าว
      การเดินทางไปภูเขาควายครั้งนี้ ระหว่างทาง หลวงปู่จันทร์ดี ขณะนั้นยังเป็นสามเณร ก็ได้เล่าเรื่องราวการตัดเหล็กไหล และการเสียชีวิตของพระอาจารย์ทั้ง 5 ให้หลวงปู่มั่นฟัง หลวงปู่มั่นท่านได้แต่หัวเราะและบอกทางหลวงปู่จันทร์ดีว่า " เณรน้อยเอ๋ย อันว่าเหล็กไหลนั้นพระพุทธองค์ได้ตรัสห้ามไว้ว่า อย่าได้พยายามไปค้นหา เพราะมันเป็นเรื่องปัญหาอจินไตย"
     "คำว่าปัญหาอจินไตย หมายความว่าอย่างไรครับ" หลวงปู่จันทร์ดีถามพระอาจารย์มั่น "ความหมายของคำว่า ปัญหาอจินไตย คือ ห้ามมิให้คิดค้นหาข้อสรุปของเหล็กไหล ถ้าอยากรู้ข้อเท็จจริงของเรื่องราว ก็ไปค้นหาอ่านใน โลกธรรมสูตร อังคุตระนิกาย พระไตรปิฏก เล่มที่ 35เถิด " หลวงปู่มั่นกล่าวตอบ
      พอถึงถ้ำสระบัว หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ และ หลวงปู่ชม ต่างก็ทำพิธีเตรียมตัดเหล็กไหล โดยในขณะนั้น พระมหาปาน ได้น้ำน้ำผึ้งทาตามบริเวณถ้ำที่เหล็กไหลติดอยู่ ลักษณะการทาน้ำผึ้งของท่านทำอาการคล้ายๆการฉาบปูน คือทาจนผนังเยิ้มไปด้วยน้ำผึ้ง จากนั้นหลวงปู่เสาร์ก็ใช้เทียนชัยเล่มใหญ่มาก หนักประมาณ 32 บาท ไส้เทียน 108 เส้น ลนไปรอบๆปุ่มเหล็กไหล 3 รอบ จากนั้นก็หยุดลนไฟ แล้วนั่งทำพิธีบริกรรมภาวนาต่อ ทันใดนั้น คล้ายมีเสียงดังหนักๆ ถูกลากหรือเคลื่อนตัวมากับพื้นหินถึงขนาดทำให้พื้นถ้ำสั่นสะเทือน และมีเสียงดังเอี๊ยดๆและเสียงดังยาวเยือกเย็นเฉียบไปถึงสันหลัง ดังออกมาด้วยเป็นระยะ จนกระทั่งเสียงเคลื่อนครืดๆมาถึงเหล็กไหล
      ปรากฏว่าปุ่มเหล็กไหลเยิ้มออก คล้ายยางมะตอยทะลัก และเหมือนกับหัวงูแลบลิ้นสองแฉก ออกมาให้เห็นอยู่แวบๆ
หลวงปู่เสาร์ท่านพุดว่า "ที่เจ้าสำแดงร่างปรากฏออกมาแบบนี้ ไม่เป็นสิ่งดีงามเลย ทำให้ทุกคนตระหนกตกใจกลัว และมีอาการเหมือนเป็นศัตรูกัน อันพวกเราที่มานี้ ก็เพียงต้องการอยากจะช่วยผู้ที่โลภโมโทสัน ไม่ให้มีอันตราย พวกเราไม่ต้องการให้มีการตายเกิดขึ้นอีก"
      พอหลวงปู่เสาร์พูดจบ หัวงูอันน่าสะพรึงกลัวนั้นก็หยุดนิ่งแต่ยังคงแลบลิ้นสองแฉกอยู่แปลบๆตามเดิม โดยไม่ได้ล้ำหน้าออกมา ดังนั้นหลวงปู่เสาร์จึงนำเทียนชัยไปลนอีกครั้ง ปรากฏว่าปุ่มเหล็กไหลได้เยิ้มไหลลงมาที่โถลายครามเคลือบ ซึ่ง หลวงปู่ชมท่านได้บรรจุน้ำผึ้งไว้ครึ่งโถ ถือรองรับคอยที่อยู่แล้ว
     หลวงปู่มั่นและพระมหาปาน ซึ่งนั่งสวดอยู่รอบๆ ก็ได้ลุกขึ้นมาพร้อมกัน โดยหลวงปู่มั่น ใช้ใบหญ้าคา ซึ่งผ่านการปลุกเสกมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ นำไปตัดเหล็กไหลที่กำลังย้อยลงมากินน้ำผึ้งพอหลวงปู่มั่น นำใบหญ้าคา ลงไปจรดที่ตัวเหล็กไหลเท่านั้น ปรากฏว่าเหล็กไหลขาด คล้ายๆกับเราเอามีดคมๆ ไปปาดที่หนังสติกอย่างไรอย่างนั้นแหละ คือไหลขาดตกลงถึงโถเคลือบ ปรากฏว่าโถในมือของหลวงปู่ชม กระเด็นหลุดจากมือ ตกลงไปยังพื้นถ้ำ น้ำผึ้งกระจายหกเลอะพื้นถ้ำ   ท่ามกลางน้ำผึ้งที่แตกกระจาย หลวงปู่เสาร์ได้เดินไปหยิบก้อนเหล็กไหลใส่ลงในย่ามของท่าน ส่วนกลุ่มเหล็กไหลที่เหลือก็ดีดผึงกลับคืนผนังถ้ำ จนผนังถ้ำแตกร้าว เสียงดังสนั่นหวั่นไหวเหมือนเสียงฟ้าผ่า แผ่นดินแทบถล่มทลาย จากนั้นก็เงียบสนิทไปเหมือนเดิม
      หลวงปู่เสาร์ และหลวงปู่ชม ก็เริ่มทำพิธีตัดเหล็กไหลต่อและได้ทำพิธีเหมือนครั้งแรกคือการตัดแต่ละครั้ง โถเคลือบที่บรรจุน้ำผึ้งจะต้องกระเด็นหลุด จากมือ หลวงปู่ชม ทุกครั้ง แต่โถเคลือบใบนั้นก็ไม่มีวี่แววจะแตก และ หลวงปู่เสาร์ ก็เดินไปหยิบก้อนเหล็กไหลที่ตัดได้มาใส่ย่ามทุกครั้ง
      การกระทำพิธีของกลุ่มพระธุดงค์ คล้ายผ่านการวางแผนมาแล้ว เป็นอย่างดี คือพระอาจารย์ทุกองค์ ต่างก็ทำหน้าที่ของท่านในแต่ละหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ และในขณะทำพิธีจะไม่มีการพูดคุยกันเลย ท่านกระทำเช่นนั้นถึง 6 ครั้ง ตัดกันจนปุ่มที่เห็นขนาดเท่าตุ่มฆ้องนั้น เรียบหายไปกับผนัง ท่านจึงหยุดทำพิธี จึงเป็นอันว่าสิ้นสุดกันที สำหรับเหล็กไหลที่ถ้ำสระบัว ภูเขาควาย ประเทศลาว

เรียบเรียงโดย
กิตติ จิตรพรหม
เรื่องเล่าจากเว็บ https://www.tnews.co.th/

พญาครุฑ

ครุฑ (สันสกฤต: गरुड) เป็นสัตว์ในนิยายในประมวลเรื่องปรัมปราฮินดูและปรากฏในวรรณคดีสำคัญหลายเรื่อง เช่น มหาภารตะ เล่าว่า ครุฑเป็นพี่น้องกับนาคแ...