วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2562

กำเนิดเหล็กไหล

        มีฤาษีตนหนึ่งเป็นผู้เรืองวิทยาจนฤาษีทั้งหลายพากันยกย่องว่าเป็นครู ได้ชักชวนและรวบรวมบรรดากายทิพย์ให้นำธาตุกายสิทธิ์ แต่ละคนที่มีอยู่มารวมกันไว้ แล้วเนรมิตขุนเขากว้างใหญ่ให้เป็นหลุมบ่อมหึมา นำเอาธาตุศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายนั้นโยนลงไปรวมกันอยู่ในบ่อพร้อมกับสวดมนต์ภาวนาทำจิตให้สงบ แล้วอธิษฐานให้วัตถุธาตุที่มารวมกันอยู่ในบ่อนี้เกิดอิทธิปาฏิหาริย์ เกิดเป็นธาตุใหม่ที่วิเศษกว่าธาตุใด ๆ 
     เมื่อธาตุกายสิทธิ์มารวมกันอยู่ ณ ที่แห่งเดียวกัน จึงทำปฏิกิริยาก่อให้เกิดความสะเทือนเลื่อนลั่น เกิดแสงสีและเสียงไปทั่วบ่อใหญ่นั้นเกิดแรงบีบอัด หล่อหลอมธาตุต่าง ๆ นั้นให้รวมเป็นเนื้อเดียวกัน แต่ เพราะแต่ละธาตุมีคุณสมบัติที่แตกต่างไม่เหมือนกัน บางธาตุมีโครงสร้างไปในรูปแบบที่ไม่สามารถจะรวมกับธาตุอื่นได้ เมื่อนำมารวมกันแล้วก็เกิดปฏิกิริยาอย่างรุนแรง คือระเบิดขึ้นมา จนธาตุใหม่ที่เกิดขึ้นนั้นกระจัดกระจายไปทั่วจักรวาล
     ฤาษีทีเป็น "ครู" ของฤาษีและบรรดากายทิพย์ทั้งมวลตนนี้มีชื่อว่า "ฤาษีกไลยโกฏฐ์" เมื่อสามารถสร้างธาตุใหม่ขึ้นมาได้ก็ให้ชื่อธาตุนี้ว่า "ทองคำดำ" และขอร้องให้บรรดากายทิพย์ซึ่งเป็นเทพเทวาได้ช่วยเป็นผู้ดูแลและรักษา "ธาตุทองคำดำ" ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไปมิให้ตกไปเป็นสมบัติของคนชั่วคนไม่มีศีลธรรมได้
     เมื่อธาตุใหม่หรือ "ทองคำดำ" ได้เกิดขึ้นจากธาตุหลายชนิดรวมตัวกันขึ้น ก็ยังมีธาตุที่ผสมกับเขาไม่ได้ แต่ก็รวมกับพวกเดียวกันเกิดเป็นอีกธาตุหนึ่งที่ไม่สมบูรณ์แบบเท่าเทียมกับ "ทองคำดำ" เรียกธาตุนี้ว่า "ไหลเพชรดำ" และต่อมาธาตุใหม่ทั้งสองนี้ เรียกรวม ๆ กันว่า "เหล็กไหล" 
     ทองคำดำและไหลเพชรดำซึ่งก็คือ "เหล็กไหล" นี้ เมื่อระเบิดตัวออกไปแล้วก็จะไปเกาะอยู่ในที่เย็น ๆ และมืด ๆ เพราะไม่ชอบความร้อนโดยเฉพาะความร้อนจากดวงอาทิตย์ ซึ่งอาจจะแผดเผาให้ละลายลงไปได้ การค้นหาเหล็กไหลจึงมักจะไปพบในถ้ำมืด ๆ และสามารถ "ตัด" เหล็กไหลเอามาได้ด้วยการใช้ความร้อนจากเทียนลนให้มันไหลลงมาได้ไม่ยากนัก

ภาพเหล็กไหลตัด เคยเป็นสีน้ำเงินมาก่อน และปรับตัวเองเป็นสีเงินยวง


ติดตามตอนต่อไป
เรื่องและภาพจากหนังสือเหล็กไหลธาตุกายสิทธิ์
     












     
  
     

วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2562

เหล็กไหล

     ตอนเป็นเด็กคุณตาผมได้พูดถึงพระยืด ผมถามว่าพระยืดคืออะไร ตาบอกว่าเป็นโลหะเมื่อเอาไฟลนจะยืดได้ ซึ่งก็คือเหล็กไหลนั่นเองครับ สรรพคุณคือหนังเหนียวกันมีดกันปืนได้ 
     ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานปี พ.ศ.2554 ให้คำจำกัดความว่าเป็นคำนาม คือ โลหะชนิดหนึ่ง เชื่อกันว่าเอาไฟเทียนลนก็ไหลย้อยออกได้ 
     หนังสือต่วยตูนฉบับที่ 319 กล่าวว่า เหล็กไหลแท้ต้องมีคุณสมบัติ 7 ข้อดังนี้ 
     1. เหล็กไหลชอบกินน้ำผึ้งเป็นอาหาร
     2. ลนด้วยเทียนแล้วจะค่อย ๆ ยืดออกเหมือนหนังสติ๊ก และเมื่อหยุดการลนก็จะหดเข้าที่ได้
     3. คุณสมบัติ สามารถดับพิษร้อนได้ทุกชนิด แม้แต่ถ่านแดง ๆ ในเตา
     4. สามารถทำลายประจุไฟฟ้าทุกชนิดได้ การนำเหล็กไหลเข้าบ้าน ถ้าเดินผ่านหม้อไฟ จะเกิดอาการไฟฟ้าชอร์ตทันที
     5. ป้องกันกระสุนปืนทุกชนิด รวมทั้งชนวนระเบิด ทำให้ไม่ระเบิดได้
     6. สามารถป้องกันของมีคมทุกชนิด ถ้ามีเหล็กไหลเอาไว้ในตัวแล้วยิงฟันไม่เข้า
     7. เคลื่อนย้ายตัวเองได้ บางทีเก็บไว้ในเซฟ ก็สามารถเลื่อนลอยหายไปจากตู้ได้เอง
     ส่วนลักษณะของเหล็กไหล มองด้วยตาจะเหมือนก้อนโลหะ สีดำ มัน โดยแต่ละก้อนจะมีขนาดใหญ่เล็ก มีสัณฐานที่ไม่เหมือนกัน แต่ลักษณะจะมนกลม และมีน้ำหนักมากกว่าเหล็กธรรมดาหลายเท่า
     ผิวจะเกลี้ยงเรียบ เป็นเงามันเลื่อมปราศจากตำหนิริ้วรอย บางก้อนจะมีสีเขียวแบบปีกแมลงทับ บางก้อนจะมีสีน้ำตาลเข้มแบบสีปลาไหล บางก้อนเป็นสีเงินยวง และบางทีเขาเล่ากันว่าสามารถเปลี่ยนสีได้ตามโอกาสอันควร

ภาพเหล็กไหลที่อาศัยอยู่ในรัง จากหนังสือเหล็กไหลธาตุกายสิทธิ์

ติดตามตอนต่อไป











วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2562

ทองแดง

     ทองแดงนั้นโบราณมาก็ดี สมเด็จฯ เองได้เคยนำทองแดงเถื่อนเป็นก้อน (ทองแดงตามป่า) มาประสมหล่อพระกริ่งหลายครั้ง ในครั้งแรกที่หล่อพระกริ่ง สมเด็จรับสั่งว่าก่อน ๆ นี้ พอหาได้ต่อ ๆ มาไม่ได้ค่อยพบเห็น ลักษณะเป็นก้อนมีทั้งขนาดกลาง เล็ก และเขื่อง ทองแดงที่มีขายตามตลาดในปัจจุบัน ท่านรับสั่งว่า มีส่วนของทองเหลืองปนอยู่ด้วย จึงใช้ทองแดงแท่ง หรือทองแดงสายไฟฟ้า ส่วนเจือปนมีน้อยมากใช้แทนทองแดงเถื่อน แต่ของโบราณหรือจะช่วยให้ผิวเนื้อของพระกริ่งดำสนิทยิ่งขึ้นก็เป็นได้ หรือจะเป็นด้วยในสมัยโบราณไม่มีทองแดงจากต่างประเทศเข้ามา จึงเอาทองเถื่อน (ป่า) เป็นแม่ธาตุในการสร้างก็อาจเป็นได้ ทองแดงนั้นจะใช้น้ำหนัก 7  บาท ในการสร้างเนื้อนวโลหะ ส่วนโลหะอื่นนอกจากนี้ผมไม่มีข้อมูล(กฤษฎา) ดังนั้นการที่จะปลอมแปลงเนื้อให้เหมือนของสมเด็จฯ ได้นับว่าเป็นเรื่องยาก

ที่มา หนังสือนิตยสารพระเครื่องรายเดือน พระยอดนิยม

ปรอทสะตุ

     เรื่องปรอทสะตุนั้น เป็นกรรมวิธีพิเศษของสมเด็จพระสังฆราชแพ ท่านจะประกอบพิธีเช่นใดมิทราบ เห็นทำใส่ชามลายครามใบใหญ่ประมาณครึ่งชาม คือเหลือจากครั้งหล่อพระกริ่ง พ.ศ.2479 แล้ว ปรอทสะตุของสมเด็จฯนี้ใช้ประสมหล่อพระกริ่งเช่นกัน
     แต่แปลกอยู่ว่าถูกความร้อนแล้วไม่หนีจะอยู่กับโลหะที่ประสมนั้น จะช่วยรักษาผิวพระกริ่งชั้นสอง อยู่กับผิวเงินเป็นส่วนใหญ่ ปรอทของท่านผู้อื่นใส่ลงไปในเบ้าหลอมหล่อ พอถูกความร้อนเข้าจะหนีขึ้นจากเบ้าหลอมเป็นสายเขียวเป็นทางหนีไปหมด มิเช่นนั้นถ้าประกอบกรรมวิธีไม่ถูกต้องหรือให้ธาตุไม่ดีพอกัน อาจบังเกิดการระเบิดเมื่อถูกความร้อนก็เป็นได้ เคยได้พบมาแล้วไม่อยู่ช่วยรักษาผิวของพระกริ่งต่อไป จึงเป็นการขาดโลหะธาตุปรอทไปสิ่งหนึ่งไม่ครบนวโลหะตามกรรมวิธี ซึ่งปรอทนั้นจะใช้น้ำหนัก 5 บาท ในการสร้างเนื้อ นวโลหะ

ที่มา หนังสือนิตยสารพระเครื่องรายเดือน พระยอดนิยม

วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2562

เหล็กละลายตัว

     เป็นหนึ่งในโลหะ 9 ชนิดที่นำมาสร้างเนื้อ นวโลหะ จะใช้น้ำหนัก 3 บาท เป็นส่วนผสม โลหะชนิดนี้โดยมากอยู่ริมน้ำแฉะ ๆ หรือในน้ำเป็นส่วนใหญ่ จะทำให้น้ำมีรสเปรี้ยวจัด และน้ำคันเป็นอย่างมาก คนก็ดี สัตว์ เช่น วัว ควาย  ยืนอยู่สักพักหนึ่งทนความคันของน้ำไม่ไหวต้องหนี ลักษณะเหล็กละลายตัวจะเป็นก้อนเล็กบ้าง เขื่องบ้าง คล้ายก้อนหิน แต่สีออกดำมีเงาเก็บนำมาแล้วตำให้แตกคลุกกับน้ำมันปลา นำเข้าเตา สูบไปจนลงสายดีแล้ว นำแม่เหล็กที่จับเข้าเป็นแร่เหล็กจับติดรวบรวมเก็บไว้ ที่เป็นขี้ทิ้งไปแล้วนำมาสูบอีกสองครั้ง ใช้ซัดด้วยปัสสาวะวัวแดง ตอนนี้เป็นกายสิทธิ์ท่านว่าคงกระพันแล้วถ้าก้อนนั้นหนัก 1 บาท อมไว้ยุงจะไม่กัด บางท่านทำให้เป็นผงเก็บรักษาไว้ก็มี ที่เป็นเกล็ดผงนั้นจะมีเงาเป็นมันดำเลื่อม เหล็กละลายตัวดังกล่าวทางจังหวัดอยุธยาเคยได้ไว้แต่หล่อพระกริ่งไปแล้ว สมเด็จพระสังฆราชแพท่านว่าได้มาจากจังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดกาญจนบุรีแถบอำเภอพนมทวน

ที่มา หนังสือนิตยสารพระเครื่องรายเดือน พระยอดนิยม

วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2562

จ้าวน้ำเงิน

     เป็นหนึ่งในโลหะ 9 ชนิด ที่นำมาสร้างเป็นเนื้อ นวโลหะ โดยจะใช้น้ำหนัก 2 บาท จ้าวน้ำเงิน จัดเป็นโลหะพิเศษชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดอยู่ตามป่าลึก เนื้อสีขาวคล้ายเงินบริสุทธิ์ สะอาดแต่อ่อน เนื้อคล้าย ๆ ตะกั่ว ลักษณะขดเป็นขี้นก ขนาดประมาณขี้นกพิราบหรือเขื่องกว่าเล็กน้อย วิธีทดลองว่าจะเป็นจ้าวน้ำเงินแท้หรือเทียม ให้นำเหรียญบาทของไทยคลุมทับเจ้าน้ำเงินหลาย ๆ เหรียญสักหน่อย และใช้ขันหรือภาชนะใดครอบอีกที พอน้ำค้างตกประมาณตีสามเศษ ๆ หรือตีสี่ หรือทิ้งไว้ค้างคืนก็ได้ เวลาเช้าไปเปิดภาชนะที่ครอบไว้จะเห็นตัวจ้าวน้ำเงิน พลิกกลับมาอยู่ข้างบนของเหรียญบาททุกครั้งไป สมเด็จพระสังฆราชแพ รับสั่งว่า ได้มาจากป่าทางจังหวัดสุพรรณบุรีมีมาก จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดนครปฐม พอมีบ้าง แต่ไม่สู้จะชุกนัก

ที่มา นิตยสารพระเครื่องรายเดือน พระยอดนิยม

วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2562

เมฆสิทธิ์

     เมฆสิทธิ์ คือ "แร่ผสมคล้ายเมฆพัด แต่มีสีเหลืองและสีฟ้าหม่น เหลือบสีเหลืองมีความมันวาวน้อยกว่าเนื้อเมฆพัด กล่าวว่าใช้ผงตะไบทองแดงหมักและศุลีการกับกำมะถันนำมาหลอม อีกตำราหนึ่งผู้ทำต้องสำเร็จปรอท นำปรอทนั้นมาฝังกับธาตุทองแดง จึงจะเป็นเนื้อเมฆสิทธิ์ มีคุณภาพทางทำให้เหนียว คงกระพัน"
      ส่วนทางตรียัมปวายให้ความเห็นว่า "เมฆสิทธิ์ มีความหมายว่า สำเร็จเป็นสีเมฆ คำว่า เมฆ ในที่นี้หมายถึง เมฆสีน้ำเงินอ่อน หรือสีฟ้า ซึ่งต้องรัศมีสีทองของดวงอาทิตย์ อันตรงกับลักษณะวรรณะของเมฆสิทธิ์เนื้องาม ๆ มีประกายแวววาม และทอรัศมีสีเหลือบระหว่างสีเขียว สีน้ำเงิน และสีทอง ได้อย่างน่าพิศวงงดงาม อย่างที่โลหะสำเร็จชนิดอื่น ๆ ไม่อาจจะเปรียบเทียบได้
     อันเป็นเมฆสิทธิ์วรรณะจัดเป็นสีม่วงตากุ้ง ก็หมายถึงเมฆสีม่วงคล้ำขณะฟ้าพยับฝน ซึ่งก็งดงามอย่างลึกลับและเคร่งขลัง"

พระปิดตาหลวงพ่อทับวัดอนงคาราม สร้างจากโลหะเนื้อเมฆสิทธิ์

ที่มาหนังสือเซียนพระฉบับที่ 427 คอลัมพ์ปริทัศน์พระเครื่อง โดย สรพล โศภิตกุล

     

เมฆพัด


      เมฆพัด ดูจากพจนานุกรมแล้วเป็นคำนาม "ชื่อโลหะที่เกิดจากการเอาแร่มาหุงเข้าด้วยกัน แล้วซัดด้วยกำมะถัน มีสีดำเป็นมัน แววเป็นสีคราม, เรียกพระเครื่องที่ทำด้วยโลหะชนิดนี้ ว่า พระเมฆพัด หรือ พระเนื้อเมฆพัด." 
      หนังสือเซียนพระ 427 คอลัมพ์ปริทัศน์พระเครื่องโดย สรพล โศภิตกุล เขียนไว้ว่า สารานุกรมไทยฉบับ อุทัย สิทธุ์สาร เล่มที่ 4 หน้า 3505 ได้กล่าวถึงเมฆพัดว่า 
     "เป็นแร่ผสมชนิดหนึ่ง ซึ่งคณาจารย์ผู้สร้างประติมากรรมพระเครื่องได้คิดตำรับขึ้นผิดแผกไปจากตำรับผสมโลหะสำริดและชิน คือ ใช้เนื้อเงินซัดเข้ากับตัวยาชนิดหนึ่ง เมื่อนำมาหลอมเป็นองค์พระแล้ว เนื้อโลหะนั้นมีสีเงินเหลือบดำเป็นมันวาวไม่มีสนิมจับ มีคุณทางอยู่ยงคงกระพัน"
      และคอมลัมพ์ปริทัศน์พระเครื่องยังได้อธิบายต่อว่า ตรียัมปวาย หรือ พ.อ.พิเศษ ประจน กิตติประวัติ ผู้เขียน "เบญภาคี" อันโด่งดัง ได้เขียนถึงเมฆพัดว่า "เมฆภัสสร์ มีความหมายว่า รัศมีเข้มคล้ำของเมฆ คำว่า เมฆ ในที่นี้หมายถึง เมฆดำ และคำว่า ภัสสระ หรือ ประภัสสร หมายถึงประกายรัศมี ซึ่งเป็นลักษณะของเนื้อเมฆภัสสร์นั่นเอง ปกติเมฆภัสสร์ จะมีประกายรัศมีแวววาวและเลื่อม และวรรณะดำสนิท คล้ายสีปีกแมลงภู่แฝงไว้ซึ่งอำนาจ กฤตยะอันลึกลับต่างกับโลหะสำเร็จอื่น ๆ"

พระปิดตาหลวงปู่นาควัดห้วยจรเข้ สร้างจากเมฆพัด ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าเบญจภาคีพระปิดตาเนื้อโลหะ

     
     
     







วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2562

สัมฤทธิ์ในทางพระเครื่อง


 
พระชัยวัฒน์พิมพ์ล้มลุกสร้างจากเนื้อนวโลหะ จากหนังสือสนามพระ
   

เนื้อนวโลหะ ประกอบไปด้วย โลหะ 9 อย่างได้แก่ ทองคำ เงิน ทองแดง จ้าวน้ำเงิน เหล็กละลายตัว ชิน ตะกั่วน้ำนม ปรอท สังกะสี
     เนื้อสัตตโลหะประกอบด้วย ทองคำ ทองแดง จ้าวน้ำเงิน เหล็ก ตะกั่ว ปรอท
     โลหะสัมฤทธิ์โบราณ ประกอบไปด้วยธาตุบริสุทธิ์ตั้งแต่ 3 ชนิดขึ้นไปโดยมี แร่ทองคำและเงินเป็นหลัก ถ้าไม่มีจะไม่ถือว่าเป็นสัมฤทธิ์ และที่เป็นหลักอีกอย่างคือทองแดง ซึ่งจะใช้มากเพื่อให้ได้ปริมาณ

     เนื้อสำริดหรือสัมฤทธิ์ ประกอบด้วยตระกูลของสัมฤทธิ์ที่ถูกต้องตามสูตรโบราณมีอยู่ 5 ตระกูล คือ สัมฤทธิ์ผล สัมฤทธิ์โชค สัมฤทธิ์ศักดิ์ สัมฤทธิ์คุณ และสัมฤทธิ์เดช รวมเป็นสัมฤทธิ์ 5 ตระกูล อันมีความพิสดารดังต่อไปนี้

1. สัมฤทธิ์ผล คือสัมฤทธิ์แดง หรือตริยะโลหะ มีมงคลความหมายถึง พระรัตนตรัยเป็นทองสัมฤทธิ์เนื้อสาม ผสมด้วยโลหะธาตุ 3 ชนิด คือ ทองแดง เป็นส่วนใหญ่และเจือด้วยเงินกับทองคำ สัมฤทธิ์ตระกูลนี้มีวรรณะแดงคล้ายนาก แต่มีผิวเจือด้วยวรรณะคล้ำๆ คล้ายสีมะขามเปียก โบราณถือว่าเป็นมงคลวัตถุ อำนวยผลนานาประการโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเมตตามหานิยม พระพุทธรูปสมัยอู่ทองโดยเฉพาะพระพุทธรูปอู่ทองหน้าแก่มักสร้างด้วยเนื้อนี้

2. สัมฤทธิ์โชค คือสัมฤทธิ์เหลือง หรือ ปัญจโลหะ เป็นโบราณนิยามหมายถึงเบญจขันธ์ (ขันธ์ 5) คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นทองสัมฤทธิ์เนื้อห้า ได้แก่ ทองแดง ตะกั่ว สังกะสี เงิน ทองคำ มีวรรณะเหลืองคล้ายเนื้อกลองมโหระทึก หรือขันลงหิน มีแววนกยูงภายในเนื้อ เป็นสัมฤทธิ์ที่ให้คุณหนักไปทางด้านลาภผล กับความสำเร็จ พระพุทธรูปสกุลช่างสุโขทัยบางยุคและพระเชียงแสน พระชัยวัฒน์ของสมเด็จพระสังฆราชแพ บางรุ่น และพระกริ่งพระชัยวัฒน์ของท่านเจ้าคุณศรีสนธิ์บางรุ่นก็สร้างด้วยเนื้อนี้

3. สัมฤทธิ์ศักดิ์ คือสัมฤทธิ์ขาว หรือสัตตะโลหะ เป็นมงคลนามหมายถึง โพชฌงค์ 7 คือ องค์ธรรมเป็นเครื่องตรัสรู้ มี 7 ประการ ได้แก่ สติ ธัมมวิจยะ วิริยะ ปิติ ปัสสัทธิ สมาธิ และอุเบกขา สัมฤทธิ์ศักดิ์เป็นทองสัมฤทธิ์เนื้อเจ็ด ประกอบด้วย ทองแดง ตะกั่ว สังกะสี ปรอท เหล็กละลายตัว เงิน และทองคำ สัมฤทธิ์ตระกูลนี้มีวรรณะหม่นคล้ำน้อยๆ แต่มีแวววรรณะขาวผสมผสานอยู่ นับถือกันว่าอำนวยผลในด้านอำนาจ มหาอุด คงกระพัน แคล้วคลาด

4. สัมฤทธิ์คุณ คือสัมฤทธิ์เขียว หรือ นวโลหะ หมายถึงนัยของธรรมอันสูงสุดในพระศาสนา อันได้แก่ นวโลกุตรธรรม อันมี มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1 สัมฤทธิ์คุณเป็นทองสัมฤทธิ์เนื้อเก้า เช่นเดียวกับสัมฤทธิ์เดช ประกอบด้วย ทองแดง ตะกั่ว สังกะสี ปรอท เหล็กละลายตัว ชิน จ้าวน้ำเงิน เงิน และทองคำ แต่สัมฤทธิ์ตระกูลนี้แก่ส่วนผสมของเนื้อเงินมากกว่าธรรมดา ฉะนั้น เนื้อภายในจึงมีวรรณะสีจำปาอ่อนหรือนากอ่อน แต่ผิวเนื้อเมื่อกลับคล้ำเพราะถูกไอเหงื่อ จะมีวรรณะคล้ำเจือเขียวเตยหม่นแกมเหลืองอ่อนคล้ำมีแววขาวโดยตลอดเนื้อ สัมฤทธิ์ชนิดนี้อำนวยคุณวิเศษเช่นเดียวกับสัมฤทธิ์เดชทุกประการ

5. สัมฤทธิ์เดช คือสัมฤทธิ์ดำ หรือนวโลหะ เป็นทองสัมฤทธิ์เนื้อเก้า เช่นเดียวกับสัมฤทธิ์คุณ แต่มีสัดส่วนการผสมได้เกณฑ์ถูกต้องตามมูลสูตรมากที่สุด ดังนั้นภายในจึงมีวรรณะจำปาแก่ หรือสีนากแก่ ผิวเนื้อเมื่อกลับคล้ำเพราะต้องไอเหงื่อ จะดำสนิท ประหนึ่งนิลดำ เรียกกันว่า "สัมฤทธิ์เนื้อกลับ" โบราณถือว่าสัมฤทธิ์นวโลหะทั้ง 2 ประเภทนี้ เป็นสัมฤทธิ์ที่สมบูรณ์ที่สุด หรือเป็นยอดของสัมฤทธิ์ อำนวยผลในด้านมหาอุตม์อันสูงส่ง คืออำนาจตบะเดชะ มหานิยม ลาภผล ความสำเร็จ คงกระพัน แคล้วคลาด ทุกประการ สูตรผสมเนื้อสัมฤทธิ์เดช หรือนวโลหะ ที่เป็นตำรับของสมเด็จพระพนรัต วัดป่าแก้ว ยุคกรุงศรีอยุธยา ตกทอดมาอยู่กับ สมเด็จกรมพระยาปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพนฯ พระพุฒาจารย์มา ครั้งยังเป็นพระมงคลทิพยะมุนี วัดจักรวรรดิฯ และสมเด็จพระสังฆราช แพ วัดสุทัศน์ ครั้งยังเป็นพระเทพโมลีตามลำดับ เกณฑ์อัตราส่วนผสมของโลหะทั้ง 9 ชนิด มีดังนี้
1) ชิน หนัก 1 บาท
2) จ้าวน้ำเงิน หนัก 2 บาท
3) เหล็กละลายตัว หนัก 3 บาท
4) ตะกั่วเถื่อน หนัก 4 บาท
5) ปรอท หนัก 5 บาท
6) สังกะสี หนัก 6 บาท
7) บริสุทธิ์ (ทองแดงเถื่อน) หนัก 7 บาท
8) เงิน หนัก 8 บาท
9) ทองคำ หนัก 9 บาท

ที่มาคอลัมพ์คุณแทนท่าพระจันทร์ บล็อคโอเคเนขั่น และข้อมูลในอินเตอร์เน็ต



พญาครุฑ

ครุฑ (สันสกฤต: गरुड) เป็นสัตว์ในนิยายในประมวลเรื่องปรัมปราฮินดูและปรากฏในวรรณคดีสำคัญหลายเรื่อง เช่น มหาภารตะ เล่าว่า ครุฑเป็นพี่น้องกับนาคแ...