วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2563

ทองคำ


   
ทองคำ จากโพสต์ทูเดย์
 
     ทองคำ (อังกฤษ: gold) คือธาตุเคมีที่มีหมายเลขอะตอม 79 และสัญลักษณ์คือ Au (มาจากภาษาละตินว่า aurum) จัดอยู่ในกลุ่มธาตุโลหะมีสกุลชนิดหนึ่ง ทองคำเป็นธาตุโลหะทรานซิชันสีเหลืองทองมันวาวเนื้ออ่อนนุ่ม สามารถยืดและตีเป็นแผ่นได้ ทองคำไม่ทำปฏิกิริยากับสารเคมีส่วนใหญ่ ทองคำใช้เป็นทุนสำรองทางการเงินของหลายประเทศ ใช้ประโยชน์เป็นเครื่องประดับ งานทันตกรรม และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

คุณสมบัติ

     มีความแวววาวอยู่เสมอ ทองคำไม่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนดังนั้น เมื่อสัมผัสถูกอากาศสีของทองจะไม่หมองและไม่เกิดสนิม มีความอ่อนตัว ทองคำเป็นโลหะที่มีความอ่อนตัวมากที่สุด ด้วยทองเพียงประมาณ 2 บาท เราสามารถยืดออกเป็นเส้นลวดได้ยาวถึง 8 กิโลเมตร หรืออาจตีเป็นแผ่นบางได้ถึง 100 ตารางฟุต เป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดี ทองคำเป็นโลหะชนิดหนึ่งที่สามารถนำไฟฟ้าได้ดี สะท้อนความร้อนได้ดี ทองคำสามารถสะท้อนความร้อนได้ดี ได้มีการนำทองคำไปฉาบไว้ที่หน้ากากหมวกของนักบินอวกาศ เพื่อป้องกันรังสีอินฟราเรด 
     มนุษย์รู้จักทองคำมาตั้งแต่ประมาณ 5,000 ปี เป็นความหมายแห่งความมั่งคั่ง จุดหลอมเหลว 1064 องศาเซลเซียส และจุดเดือด 2970 องศาเซลเซียส เป็นโลหะที่มีค่าที่มีความเหนียว (Ductility) และความสามารถในการขึ้นรูป (Malleability) คือจะยืดขยาย (Extend) เมื่อถูกตีหรือรีดในทุกทิศทาง โดยไม่เกิดการปริแตกได้สูงสุด ทองคำบริสุทธิ์หนัก 1 ออนซ์สามารถดึงเป็นเส้นลวดยาวได้ถึง 80 กิโลเมตร ถ้าตีเป็นแผ่นก็จะได้บางเกินกว่า 1/300,000 นิ้ว ส่วนความกว้างจะได้ถึง 9 ตารางเมตร
     ทองคำบริสุทธิ์ไม่ว่องไวต่อการเกิดปฏิกิริยาเคมี จึงทนต่อการผุกร่อนและไม่เกิดสนิมกับอากาศ แต่ทำปฏิกิริยากับสารเคมีบางชนิด เช่น คลอรีน ฟลูออรีน น้ำประสานทอง
คุณสมบัติเหล่านี้ประกอบกับลักษณะภายนอกที่เป็นประกายจึงทำให้ทองคำเป็นที่หมายปองของมนุษย์มาเป็นเวลานับพันปี โดยนำมาตีมูลค่าสำหรับการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศและใช้เป็นวัตถุดิบที่สำคัญสำหรับวงการเครื่องประดับ
     ทองคำได้รับความนิยมอย่างสูงสุดในวงการเครื่องประดับทองคำ เพราะเป็นโลหะมีค่าชนิดเดียวที่มีคุณสมบัติพื้นฐาน 4 ประการซึ่งทำให้ทองคำโดดเด่น และเป็นที่ต้องการเหนือบรรดาโลหะมีค่าทุกชนิดในโลก คืองดงามมันวาว (lustre) สีสันที่สวยงามตามธรรมชาติผสานกับความมันวาวก่อให้เกิดความงามอันเป็นอมตะ ทองคำสามารถเปลี่ยนเฉดสีทองโดยการนำทองคำไปผสมกับโลหะมีค่าอื่นๆ ช่วยเพิ่มความงดงามให้แก่ทองคำได้อีกทางหนึ่งคงทน (durable) 
     ทองคำไม่ขึ้นสนิม ไม่หมอง และไม่ผุกร่อน แม้ว่ากาลเวลาจะผ่านไป 3000 ปีก็ตามหายาก (rarity) ทองเป็นแร่ที่หายาก กว่าจะได้ทองคำมาหนึ่งออนซ์ (31.167 gram) ต้องถลุงก้อนแร่ที่มีทองคำอยู่เป็นจำนวนหลายตัน และต้องขุดเหมืองลึกลงไปหลายสิบเมตร จึงทำให้มีค่าใช้จ่ายที่สูง เป็นเหตุให้ทองคำมีราคาแพงตามต้นทุนในการผลิตนำกลับไปใช้ได้ (reuseable)
     ทองคำเหมาะสมที่สุดต่อการนำมาทำเป็นเครื่องประดับเพราะมีความเหนียวและอ่อนนิ่มสามารถนำมาทำขึ้นรูปได้ง่าย อีกทั้งยังสามารถนำกลับมาใช้ใหม่โดยการทำให้บริสุทธิ์ (purified) ด้วยการหลอมได้อีกโดยนับครั้งไม่ถ้วน

การเกิดของแร่ทองคำ

     กรมทรัพยากรธรณี ได้มีการแบ่งการเกิดของแร่ทองคำออกเป็น 2 แบบ ตามลักษณะที่พบในธรรมชาติได้ดังนี้
     แบบปฐมภูมิ คือกระบวนการทางธรณีวิทยา มีการผสมทางธรรมชาติจากน้ำแร่ร้อน ผสมผสานกับสารละลายพวกซิลิก้า ทำให้เกิดการสะสมตัวของแร่ทองคำในหินต่างๆ เช่น หินอัคนี หินชั้น และหินแปร มีการพบการฝังตัวของแร่ทองคำในหิน หรือสายแร่ที่แทรกอยู่ในหิน ซึ่งส่วนใหญ่จะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
     แบบทุติยภูมิหรือลานแร่ คือการที่หินที่มีแร่ทองคำแบบปฐมภูมิได้มีการสึกกร่อน และถูกน้ำพัดพาไปสะสมตัวในที่แห่งใหม่ เช่น ตามเชิงเขา ลำห้วย หรือในตะกอนกรวดทรายในลำน้ำ

แหล่งแร่ทองคำปฐมภูมิในไทย

แหล่งโต๊ะโมะ จ.นราธิวาส
แหล่งเขาสามสิบ จ.สระแก้ว
แหล่งชาตรี (เขาโป่ง) จ.พิจิตร - จ.เพชรบูรณ์
แหล่งดอยตุง (บ้านผาฮี้) จ.เชียงราย
แหล่งเขาพนมพา จ.พิจิตร
แหล่งแร่ทองคำทุติยภูมิในไทย
แหล่งบ้านป่าร่อน จ.ประจวบคีรีขันธ์
แหล่งบ้านนาล้อม จ.ปราจีนบุรี
แหล่งบ้านทุ่งฮั้ว จ.ลำปาง
แหล่งในแม่น้ำโขง จ.เลย - จ.หนองคาย
แหล่งบ้านผาช้างมูบ จ.พะเยา

การใช้ประโยชน์

ด้านอวกาศ
     ในทางอวกาศได้มีการนำทองคำมาใช้เป็นชุดนักบินอวกาศและแคปซูล เพื่อป้องกันไม่ให้นักบินอวกาศกระทบกับรังสีในอวกาศที่มีพลังงานสูง นอกจากนี้ยังมีการใช้ทองคำบริสุทธิ์เคลือบกับเครื่องยนต์ ระบบอิเล็กทรอนิกส์ หมวกเหล็ก เกราะบังหน้า และอุปกรณ์อื่นๆ ที่ใช้ในอวกาศ เนื่องจากทองคำที่มีความหนา 0.000006 นิ้ว จะมีคุณสมบัติช่วยสะท้อนรังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์ไม่ให้ทำลาย หรือลดประสิทธิภาพการทำงานของอุปกรณ์เหล่านี้

ด้านทันตกรรม
     มีการใช้ทองคำเพื่อการครอบฟัน เชื่อมฟัน หรือการเลี่ยมทอง และยังมีการใช้ในการผลิตฟันปลอมด้วย เนื่องจากทองคำมีความคงทนต่อการกัดกร่อน การหมองคล้ำ และยังมีความแข็งแรงอีกด้วย โดยจะใช้ทองคำผสมกับธาตุอื่น เช่น แพลทินัม

ด้านอิเล็กทรอนิกส์
     มีการนำทองคำมาใช้เป็นวัสดุที่ทำหน้าที่สัมผัสในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น เครื่องคิดเลข โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือ เนื่องจากทองคำมีค่าการนำไฟฟ้าสูง และมีความคงทนต่อการกัดกร่อน จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และอายุการใช้งานของเครื่องไฟฟ้าเหล่านั้น

จากวิกิพีเดีย

วันพุธที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2563

หลวงพ่อทวดบัวรอบก้นลายเซ็นต์ปี 08


วิธีดูรูปหล่อ หลวงพ่อทวด บัวรอบก้นลายเซ็นต์ ปี 2508

1.ผิวไฟในองค์ที่ยังเหลือร่องรอยอยู่ตามซอกมุม จะออกสีส้มอมแดงมีความหมองสมอายุ เนื้อในองพระโลหะมองดูมีความหม่น (ถ้ามีเหรียญ รุ่น 3 เนื้อทองแดงอยู่ก็มีลักษณะเดียวกัน เนื้อโลหะเหมือนกัน)

2.คราบขี้เบ้าตามซอกตามมุมพระ (คราบแบบเดียวกับเตารีด ปี 05) ถ้ามียิ่งพิจารณาง่าย คราบขี้เบ้าของแท้จะมีสีอมเหลืองอ่อนๆ แน่นแข็ง สะกิดไม่ออก เพราะผ่านความร้อนในการเทโลหะที่ถูกหลอมละลายจนดินเบ้าสุก หากใช้ปลายเล็บสะกิดออก โอกาสเก๊มีมากกว่าแท้

3.โค้ดตาไก่ ด้านหลังองค์พระ บางคนอาจไม่รู้ว่ามี จะตอกอยู่บริเวณด้านหลังบริเวณสะโพก บนฐานบัว ในร่องของโค้ดปรากฏคราบและผิวความเก่าเหมือนตามซอกมุมพระ ขอบโค้ดด้านนอกและด้านในต้องไม่คม ดูมนๆ (สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นโค้ดแบบเดียวกับที่ตอกพระกริ่ง บริเวณเศียรพระเพื่อให้เป็นมวยผม เห็นช่างแต่งพระเรียกกันว่าตัวตุ๊ดตู่)

4.รอยตะไบใต้ฐานของแท้ เป็นร่องตะไบหยาบ ดูไม่ลึก และปราศจากความคม ดูธรรมชาติ(ไม่จงใจ) มีทิศทางของร่องตะไบแทงมาจากหลายทิศทาง (ลักษณะเดียวกับหลังเตารีด ปี 05) ของเก๊มักทำร่องตะไบละเอียดสม่ำเสมอ มีความคม และวิ่งทิศทางเดียว หรือถ้าพยายามทำรอยตะไบให้มีร่องลึกและหยาบจะดูขัดๆตา ผิดธรรมชาติของการตะไบ (รอยตะไบใต้ฐานหากใครมีความชำนาญพอหรือเห็นมามากสามารถใช้เป็นจุดชี้ขาดได้เช่นกัน)

5.รอยเม็ดอุดกริ่งใต้ฐานองค์พระ จะมีขนาดประมาณเท่าปลายแท่งดินสอ เจาะแล้วบรรจุกริ่งปิดทับด้วยโลหะชนิดเดียวกัน บางองค์ช่างแต่งดีแทบมองไม่เห็น แต่ส่วนใหญ่จะมองเห็น ขอบฐานพระเมื่อใช้มือสัมผัสแล้วต้องไม่รู้สึกว่าคม

6.ก้นลายเซ็นต์ มีสองและสามแถว แต่ตอกจากโค้ดเดียวกัน ส่วนใหญ่คำว่า วัดช้างให้ แถวสุดท้ายไม่ติด สมัยก่อนถ้าจำไม่ผิด นักเล่นจะแยกว่า ก้นลายเซ็นต์ สองแถว สามแถว แบ่งแยกให้มีความนิยมต่างกัน ราคา ไม่เหมือนกัน แต่สมัยนี้น่าจะไม่แยกแล้ว (อันนี้ไม่ทราบเหมือนกัน)

7.คำว่า วิสัยโสภณ ตรงตัว ย จะมองเห็นเป็น ตัว C ในภาษาอังกฤษ เป็น เหลี่ยมหยัก ในร่องตัวอักษร จะมีขีด ตามร่อง หลายๆขีด จะมีในอักษรหลายๆตัว ลักษณะร่องอักษรคล้ายท้องเรือไม่มองดูเป็นมุมฉากลงไป (หากได้เห็นของแท้มาแล้วก็ง่ายต่อการพิจารณา) 

หลวงพ่อทวด ปี 08

ใต้ฐานหลวงพ่อทวด ปี 08


ขออภัยที่จำที่มาไม่ได้ ขอขอบคุณมา ณ.ที่นี้


วันศุกร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2563

นวหรคุณ


     พระพุทธคุณ 9 ประการนี้ ย่อเหลือพระคุณละ 1 อักษร ดังนี้ คือ.-

1)อะ (อรหัง)-เป็นพระอรหันต์ ไกลจากกิเลส.....
2)สัง(สัมมา สัมพุทโธ)-ตรัสรู้ความจริงด้วยพระองค์เอง โดยถูกต้อง.......
3)วิ(วิชชา จรณะสัมปันโน)-ทรงสมบูรณ์ด้วยวิชาสมบัติและจริยาสมบัติ........
4)สุ(สุคโต)-เสด็จไปดี......
5)โล(โลกวิทู)-ทรงรู้เท่าทันโลกทั้ง 3..........
6)ปุ(อนุตตโร ปุริสทัมมสารถิ)-ทรงเป็นสารถี ฝึกบุรุษที่ควรฝึกได้ ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน.......
7)สะ(สัตถา เทวมนุสสานัง)-ทรงเป็นครูสอนทั้งเทวดาและมนุษย์........
8)พุ(พุทโธ)-ทรงเบิกบาน ยิ้มแย้มแจ่มใส.......
9)ภะ(ภควา)-เป็นผู้ทรงแจกพระอมตะมรดก.......

ย่อเป็น 9 คำ อ่านได้ว่า" อะ-สัง-วิ-สุ-โล-ปุ-สะ-พุ-ภะ".......โดยสวดเป็นอนุโลมตั้งแต่ 1-9 และสวดย้อนกลับเป็นปฏิโลมว่า "ภะ-พุ-สะ-ปุ-โล-สุ-วิ-สัง-อะ"........ภาวนาไปสัก 10 เที่ยว 20 เที่ยว 10 0เที่ยว 1,000 เที่ยวก็ได้........

      ถ้าเราได้พระพุทธคุณนี้มาเป็น"อริยทรัพย์ภายใน"แล้ว วิเศษยิ่งกว่าเพชรนิลจินดา ข้าวของเงินทองทั้งหลาย นอนหลับเป็นสุขด้วย แล้วก็ไม่มีภัย น้ำจะท่วมพระพุทธคุณไม่ได้ ไฟก็ไหม้ไม่ถึง โจรผู้ร้ายก็ปล้นลักขโมยไม่ได้ รัฐบาลก็ริบเอาไม่ได้ ฉะนี้แล ฯ

      **อะสังวิสุโลปุสะพุภะ"- เป็นหัวใจพุทธคุณ 9 ห้อง เรียกว่า "นวหรคุณ" ก็ใช่....เริ่มจาก อรหังสัมมา.สัมพุทโธ วิชชาจรณสัมปันโน สุคโตโลกวิทู อนุตตโร ปุริสสธัมมสารถิสัต ถาเทวมนุสสานัง พุทโธ ภควาติ.....หมายถึง การไปสู่การเป็น"ผู้รู้" 9 ประการ ซึ่งแปลตามตัวอักษร ที่ไม่ใช่ภาษาบาลี ซึ่ง"เข้าถึงตัวรู้"ได้ 9 ประการ คือ

1)ดิน- เป็นต้นธาตุ ไปสู่ตัวรู้ เรียก อัตตา-ตัวตน ที่ศึกษาได้จากรูปธรรมที่ชัดเจน......
2)น้ำ- ต้นธรรม ที่ให้กำเนิดชีวิตนานา ที่สามารถสร้างสรรพสิ่งแห่งชีวิตทั้งมวล.......
3)ไฟ-การปรุงแต่งดี-ชั่ว ผิด-ถูก ควร-ไม่ควร ต้นกำเนิดแห่งตัวรู้ทั้งปวง......
4)ลม-ทางดำเนินไปสู่ความรู้แจ้ง และหยุดปรุงแต่งจากเครื่องร้อยรัดทั้งหลาย........
5)ความรู้สึก-เพื่อศึกษาถึงข้อวัตรปฏิบัติ ในการเกิดมามีชีวิตอยู่ในโลกอย่างชาญฉลาด........
6)ความจำ-ความรู้ต่างๆ ที่เป็นข้อมูลในทางผิดและถูก  ควรยึดหรือปล่อยวาง........
7)ความคิด-การแยกแยะสิ่งต่างๆ เพื่อละชั่ว-ทำดี-และหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งหลาย.........
8)การสัมผัส-รับรู้-- เพื่ออยู่กับปัจจุบัน ที่ปรุงแต่งอย่างไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ของของเรา.........
9)การรู้แจ้งธรรมชาติแห่งชีวิต-- คือ จิต-ตัวรู้ ที่จิตรู้สรรพสิ่ง แล้วไม่ยึดมั่น ถือมั่น ล้วนแต่เป็นมายา ละครโรงใหญ่ ที่เกิดขึ้นมาแล้ว  ก็สมมุติ แล้วตั้งอยู่ชั่วขณะ แล้วก็สลายไป......

ที่มาอินเตอร์เน็ตขออภัยที่ไม่ได้บันทึกที่มาและขอขอบคุณมา ณ.ที่นี้ครับ

วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2563

ครูบาเจ้าศรีวิชัย (ตอนจบ)

     ครูบาเจ้าศรีวิชัยป่วยด้วยโรคริดสีดวงทวารหนัก หลังจากรักษาตัวมานานท่านได้กลับมาพักที่วัดบ้านปาง โรคริดสีดวงทวารของท่านเป็นรูทะลุถึงสามรู น้ำเหลืองไหลซึมตลอดเวลา และโรคปอดทำให้ไอบ่อย ๆ จนแทบไม่มีเรี่ยวแรง หายใจเหนื่อยหอบ เสียงแหบแห้ง หายใจได้ไม่เต็มปอด ทำให้ผอมเหลิอแต่หนังหุ้มกระดูก แต่ยังมีสติดีมาก ท่านสั่งให้สานุศิษย์นำเสลี่ยงหามท่านไปชมรอบบริเวณวัดแล้วออกไปนอกกำแพงโดยก่อนหน้านั้นท่านสั่งให้ปลูกกุฏิอย่างเรียบง่ายมุงหญ้าคาอยู่นอกกำแพงวัด ทิศตะวันออกเฉียงใต้ เมื่ออุ้มท่านขึ้นกุฏิแล้วก็เอาคนโทหลั่งน้ำประกาศต่อสานุศิษย์ว่าขอมอบวัดวาอารามให้อยู่ในความดูแลปกครองของคณะสงฆ์ต่อไปเถิด...สาธุ อนุโมทามิ
     แสดงให้เห็นว่าท่านมีมรณะสัญญาณและอาจหาญกล้าเผชิญหน้าต่อมรณกรรมที่จะมาถึงตัว จึงสั่งให้ช่างประจำตัวชาวจีนชื่อนายช่างหลิ่มสร้างโลงศพและปราสาทห้ายอด นายช่างหนานสิระสาเป็นผู้ประดับดอกรดน้ำลายทองรอบโลงและปราสาทห้ายอดอย่างวิจิตรสวยงาม ท่านเคยพูดถึงโรคภัยไข้เจ็บของท่านว่า "เราเป็นโรคกรรมแต่อดีตมาตามทัน คือ อดีตชาติเราก็เคยเป็นพระถือไม้เท้าปลายแหลมสามง่าม ได้ไปแทงใส่ก้นกบตัวหนึ่งเข้า กบได้รับเวทนาจึงเป็นเวรแก่กัน เวทนาของเราเดี๋ยวนี้คงไม่ต่างอะไรกันกับกบตัวนั้น ถึงอย่างไรเราก็ปลงตกแล้วไม่ให้เป็นเวรเป็นภัยแก่กันอีกต่อไป ขอให้เป็นพระโปรดโลกองค์หนึ่งในวันข้างหน้า เราจะละสังขารไปเดือนนี้แล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายจงดูความวิปริตของท้องฟ้าไว้เป็นสัญญาณเถิด" และท่านยังย้ำอีกว่า "หากเรามรณภาพแล้วอย่าเอาซากศพของเราไว้ในเขตวัดเป็นอันขาด เพราะเป็นเขตของพระรัตนตรัยและอย่าเอาซากศพของเราไว้ด้านทิศตะวันตกของวัด" วาระสุดท้ายของพระครูบาเจ้าศรีวิชัยสะท้อนให้เห็นหัวใจอันเปี่ยมด้วยความเสียสละ ปล่อยวางไม่ยึดติด ถือเป็นสุดยอดของพรหมจรรย์ คือนิ่งและสงบอย่างน่าเทิดทูนสมกับเป็นบุญเขตเนื้อนาบุญอันประเสริฐ
     ครูบาเจ้าศรีวิชัยถึงแก่มรณภาพเมื่อเวลาเที่ยงคืนห้านาทีสามสิบวินาที ตรงกับวันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2481 ปีขาล รวมสิริอายุ 60 ปี 9 เดือน 8 วัน 
     ที่ผมกฤษฎา นำมาเสนอนี้เป็นประวัติเพียงส่วนน้อยมาก ๆ ของพระครูบาเจ้าศรีวิชัยเท่านั้น ยังมีเนื้อหาดี ๆ เกี่ยวกับท่านอีกเป็นจำนวนมากครับ ท่านใดสนใจลองไปศึกษาค้นคว้าเอานะครับ

จากหนังสือมหัศจรรย์พระครูเจ้าศรีวิชัย โดยภิกษุ อานันท์ พุทธธัมโม












วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2563

ครูบาเจ้าศรีวิชัย (ตอนที่4)

    
ฝ่ามือ ฝ่าเท้าของพระครูบาเจ้าฯ ประทับไว้ คราวบูรณะพระเจ้าตนหลวงเมืองพะเยา

      ลักษณะของแขนและนิ้วมือเรียว ฝ่าเท้าเต็ม ฝ่าเท้าข้างขวายาว 22.7 เซนติเมตร ข้างซ้ายยาว 24.1 เซนติเมตร (วัดจากรอยเท้าที่ประทับไว้กับปูนซีเมนต์หมาด ๆ ที่วัดพระนอนขอนม่วง จังหวัดเชียงใหม่) ลายมือคมชัด ฝ่ามือซ้ายขวายาว19.2เซนติเมตร (วัดจากรอยมือประทับผ้าให้ชาวพะเยาคราวบูรณะพระเจ้าตนหลวง เมืองพะเยา) ใช้เวลาปลงผมห่างกัน 15 วัน ผมออกสีน้ำตาลเข้ม เวลาปลงผมและเล็บลูกศิษย์ขอเก็บไว้บูชา เฉพาะเส้นเกศานิยมนำไปผสมรักคลุกเคล้ากับผงดอกไม้พันดวงใบโพธิ์พันต้นบ้าง ใบลานที่ชำรุดบดเป็นผงคลุกเคล้ากับเส้นเกศานำมากดพิมพ์พระรอดพระคง แจกจ่ายผู้เคารพนับถือเอาไว้บูชา บางคนขอประทับเอารอยมือรอยเท้าทาบเขียนลงบนผืนผ้าเอาไว้บูชา บางคนขอเศษผ้าจีวร สบง อังสะ เก่าไปรักษาบูชา ในยุคแรกพระครูบาเจ้านุ่งห่มผ้าฝ้ายย้อมด้วยน้ำฝาด ภายหลังมีผ้าเนื้อดีมาถวายก็ฉลองศรัทธา ชอบห่มดองมัดอกคลุมไหล่สวมลูกประคำทำจากกะลามะพร้าวตาเดียว มีสองเส้น ผลัดเปลี่ยนกันซึ่งพระครูบาตาวัดศรีลังกา อำเภอเสริมงามจังหวัดปางกลึงถวาย ตอนมรณภาพพระทองสุข ธัมมสะโร พระเลขาสวมคอศพพระครูบาเจ้าฯ หนึ่งเส้นอยู่ในถุงย่ามอีกหนึ่งเส้น ภายหลังเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์วัดบ้านปาง ส่วนเส้นที่อยู่กับศพพระครูบาเจ้าฯ หลังมรณภาพสองปีเจ้าเมืองลำพูนอาราธนาศพไว้ที่วัดจามเทวี ครูบาทึมที่เป็นเจ้าอาวาสและศิษย์เปลี่ยนลูกประคำไปใช้ โดยเปลี่ยนของตนเองใส่ให้พระครูบาเจ้าฯ ลูกประคำเส้นนี้หลังจากครูบาทึมมรณภาพสามเณรสนั่น เชื้อเมืองพาน บ้านทุ่งพร้าว ผู้เป็นศิษย์ชาวอำเภอพาน จังหวัดเชียงราย เก็บรักษาไว้

จากหนังสือมหัศจรรย์พระครูบาเจ้าศรีวิชัย โดยภิกษุอานันท์ พุทธะธัมโม

ติดตามตอนต่อไป













วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2563

ครูบาเจ้าศรีวิชัย (ตอนที่ 3)

 
ที่บรรจุศพพระครูบาเจ้า 9 ปี

                  บุคลิกลักษณะสัดส่วนของพระครูบาเจ้า ฯ

     บุคลิกลักษณะของพระครูบาเจ้าศรีวิชัยสูง 165 เซนติเมตรโดยวัดจากพระพุทธรูปค่าคิง (เท่าตัว) ประทับยืนเท่าองค์จริงของพระครูบาเจ้าศรีวิชัย เป็นพระพุทธรูปที่ท่านสร้างไว้ในวัดสวนดอกเมืองเชียงใหม่ เวลานั่งส่วนหลังค่อมเล็กน้อยเหตุเพราะนั่งสมาธิให้ศีลพรนาน กระดูกสันหลังจึงโค้งงอ ศีรษะทุย หน้าผากกว้าง คางใหญ่เหมือนราชสีห์ มีไฝแดงเม็ดเล็กอยู้ใต้หางตาขวา 1 เม็ด และอยู่บนคิ้วซ้าย 1 เม็ด ติ่งหูสองข้างเจาะรู เสียงทุ้มไม่ดังมาก แต่หนักแน่น ไม่ค่อยพูดเงียบขรึม ถ้าได้พูดอะไรออกมาแต่ละคำหนักแน่นน่าเกรงขาม จนเป็นที่รู้กันว่าถ้าท่านพระครูบาเจ้าศรีวิชัยพูดคำไหนต้องเป็นคำนั้น คำพูดของท่านเป็นประกาศิต เวลาให้พรใช้แต่บทสัพพีและออกเสียงเร็วมาก เพราะสาธุชนมากันเป็นจำนวนมากต้องใช้เวลาอย่างรวดเร็วและให้ทั่วถึง ให้ศีลให้พรอย่างไม่เลือกที่รักมักที่ชัง บางครั้งนอนป่วยมีคนขอพร ท่านแทบจะลุกไม่ได้แต่ให้พรด้วยเสียงแหบแห้ง เดินไวมาก บ่อยครั้งขึ้นไปตรวจงานบนหลังคาพระวิหาร มือหนึ่งกางร่มมือหนึ่งปีนป่ายบนหลังคา ที่ขาสักหมึกดำตั้งแต่บั้นเอวจนถึงครึ่งขา เป็นค่านิยมแสดงถึงความเป็นชายชาตรี ของผู้ชายในสมัยนั้น

จากหนังสือมหัศจรรย์พระครูบาเจ้าศรีวิชัย รวบรวมและเรียบเรียงโดยพระภิกษุอานันท์ พุทธธัมโม

ติดตามตอนต่อไป

วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2563

ครูบาเจ้าศรีวิชัย (ตอนที่ 2)

                                  
เขี้ยวแก้วพระครูบาเจ้าศรีวิชัย หลุดที่วัดพระสิงห์หลวง นครพิงค์เชียงใหม่ สามเณรทา น้องคนสุดท้องของพระครูบาเจ้าฯ เป็นผู้เก็บรักษา ภายหลังทายาทได้มอบให้ ภิกษุอานันท์ พุทธธัมโม


                               อาหารที่ท่านงดประจำวัน

วันอาทิตย์                    ไม่ฉันหมากฟัก หมากแฟง
วันจันทร์                       ไม่ฉันหมากเต้า หมากแตง (แตงโม แตงกวา)
วันอังคาร                      ไม่ฉันหมากเขือ
วันพุธ                           ไม่ฉันก้อมก้อ (แมงลัก)
วันพฤหัสบดี                  ไม่ฉันกล้วย
วันศุกร์                          ไม่ฉันเตา (สาหร่ายชนิดหนึ่ง)
วันเสาร์                          ไม่ฉันบอน

                      นอกจากนี้ท่านจะไม่ฉันของเหล่านี้ คือ

1. ผักบุ้งทั้งสอง (ผักบุ้งปลิง,ผักบุ้งธรรมดา)
2. ผักปลอด,ผักเปลว
3. ผักหมากขี้กา
4. ผักจิก
5. ผักเหือก,ผักฮี้

     พระครูบาเจ้า ฯ กล่าวว่า ถ้าภิกษุสามเณรงดฉันตามนี้การบำเพ็ญกัมมัฏฐานเจริญก้าวหน้า ผิวพรรณ วรรณะเปล่งปลั่ง ธาตุทั้งสี่เป็นปกติ ถ้าคฤหัสถ์ (ชาวบ้าน) งดกินได้ตามนี้การถือวิชชาคาถาอาคม ดีนัก บางครั้งวันพระแปดค่ำ ไม่ฉันอาหาร ไม่ฉันข้าวและอาหารที่สุกจากไฟ ฉันแต่ผลหมากรากไม้เป็นเวลา 15 วันบ้าง 4-5 เดือนบ้าง สาเหตุที่ไม่ฉันเนื้อเริ่มอายุได้ 26  ปี ท่านฉันจิ้นส้มหมู (แหนมหมู) เป็นเหตุให้อุจจาระร่วงและอาเจียนอย่างหนัก หมดเรี่ยวแรงเกือบมรณภาพ เมื่อหายปกติดีลองฉันเนื้อหมูก็เกิดอาการเช่นเดิมอีก ตั้งแต่นั้นท่านตั้งจิตอธิษฐานไม่ฉันเนื้อทุกชนิด  และปรารภกับสานุศิษย์ว่า "เราคงเบื่อเนื้อหมูเหมือนพระพุทธเจ้าเป็นแน่แท้" อาหารที่ท่านชอบคือ แกงยอดปลีตาล ปลีมะพร้าว หน่อหวาย น้ำพริกเห็ดหล่ม ที่ฉันเป็นประจำคือ น้ำผึ้ง ผลไม้คือทุเรียน โดยเถ้าแก่โหง้วเป็นผู้จัดถวาย นอกจากนั้นเป็นผลไม้ที่เกิดขึ้นตามฤดูกาล

จากหนังสือมห้ศจรรย์พระครูบาเจ้าศรีวิชัย รวบรวมและเรียบเรียงโดย ภิกษุอานันท์ พุทธธัมโม

ติดตามตอนต่อไป

วันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2563

ครูบาเจ้าศรีวิชัย

    
ครูบาเจ้าศรีวิชัย


      พระครูบาศรีวิชัย สิริวิชโย เป็นผู้ทรงศีลปฏิบัติธุดงควัตร 13 บำเพ็ญสมถะและวิปัสสนากัมมัฏฐานอย่างเคร่งครัด มุ่งมั่นประพฤติธรรม เจริญตามรอยพระพุทธบาทพระบรมศาสดา อบรมสั่งสอนพระเณร เด็กวัดและศรัทธาญาติโยมสาธุชนเกิดความเคารพเลื่อมใสพระรัตนตรัยอยู่ในศีลในธรรมร่วมกันทำนุบำรุงบวรพุทธศาสนามิได้ทิ้งจารีตประเพณีอันดีงาม

                   จริยวัตรส่วนตัวของพระครูบาเจ้าศรีวิชัย

เวลา 01.00 น.   ปฏิบัติธรรมพิจารณากัมมัฏฐาน - เดินจงกรม
เวลา 05.00 น.   ปลุกพระเณรทำวัตรสวดมนต์ เจริญจิตภาวนาแผ่  เมตตา
เวลา 06.30 น.   ทำความสะอาดทั่วบริเวณลานวัด
เวลา 08.00 น.   นำพระสงฆ์ออกโปรดบิณฑบาต เสร็จแล้วฉันภัตตาหาร (มื้อเดียว) หลังจากนั้นอนุโมทนากถาทานบริจาคของผู้มีจิตศรัทธาจากทุกสารทิศ
เวลา 12.00 น.    เดินจงกรม
เวลา 18.00 น.   นำพระสงฆ์สามเณรทำวัตรเย็น เสร็จแล้วท่านเดินจงกรมเป็นการส่วนตัว
เวลา 21.00 น.   จำวัตร (หรือบางคืนท่าน จะนั่งสนทนาธรรมอบรมสั่งสอนพระเณร)

จากหนังสือมหัศจรรย์พระครูบาเจ้าศรีวิชัย รวบรวมและเรียบเรียงโดยภิกษุ อานันท์พุทธธัมโม

ติดตามตอนต่อไป

พญาครุฑ

ครุฑ (สันสกฤต: गरुड) เป็นสัตว์ในนิยายในประมวลเรื่องปรัมปราฮินดูและปรากฏในวรรณคดีสำคัญหลายเรื่อง เช่น มหาภารตะ เล่าว่า ครุฑเป็นพี่น้องกับนาคแ...