วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2564

สังข์

“สังข์ ของขวัญมงคล จากท้องทะเล” ในน.ส.พ. มติชน ฉบับ 17 มิถุนายน 2557 ซึ่งสรุปความมาจากหนังสือ ชื่อ “สังข์ ธรรมชาติและสิ่งศักดิ์สิทธิ์” โดย ดร.ชวลิต วิทยานนท์ ดร.อภิณัฏฐ์ กิติพันธุ์ และ พิริยะ วัชจิตพันธ์ ว่า คนไทยคุ้นเคยกับหอยสังข์ผ่านพิธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์ที่รับอิทธิพลจากประเทศอินเดียมาแต่โบราณ จนพิธีกรรมและความเชื่อแบบพราหมณ์กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตคนไทย และสิ่งหนึ่งที่อยู่คู่กับพิธีมงคลคือสังข์ สังข์ คือหอยทะเลกาบเดียว ใช้ประกอบพิธีมงคล โดยสังข์พิธีจะเรียกลักษณนามว่า “ขอน” ไม่ใช่ “ตัว” เหมือนหอยทั่วไป ผิวชั้นนอกสุดเป็นเปลือกหนาสีน้ำตาล คือ ไคติน จะหลุดออกเมื่อหอยตายไปสักระยะหนึ่ง เมื่อลอกเปลือกชั้นนอกออกจะพบเปลือกแข็งลักษณะเรียบมันมีสีสันต่างกันไป เช่น ขาว เทา ชมพู ส้ม หอยสังข์แต่ละชนิดมีชื่อเรียกตามถิ่นที่พบเจอตั้งแต่มหาสมุทรอินเดียจนถึงมหาสมุทรแอตแลนติก โดยจะพบในเขตร้อน ได้แก่ สังข์อินเดีย สังข์ศรีลังกา สังข์สุวรรณภูมิ หรือสังข์อันดามัน สังข์ยักษ์แอฟริกา สังข์บราซิล สังข์แคริบเบียน สำหรับสังข์ที่นิยมใช้ในพิธีมงคล คือสังข์อินเดีย ส่วนสังข์ที่พบในไทย คือ สังข์สุวรรณภูมิ หรือสังข์อันดามัน ในน่านน้ำไทยฝั่งอันดามัน ถือเป็นหอยหายากราคาแพง หลังภัยพิบัติสึนามิปี 2547 ไม่พบสังข์ชนิดนี้ในทะเลอันดามันอีกเลย การใช้ประโยชน์จากสังข์มีมาแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ในลักษณะเครื่องใช้ ทั้งเครื่องประดับ ภาชนะ และแตรสัญญาณ ส่วนการใช้ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถูกบันทึกเมื่อมีศาสนาพราหมณ์ ในประเทศอินเดีย ตำนานเล่าถึงพระนารายณ์ หรือพระวิษณุ กับคัมภีร์พระเวทของศาสนาพราหมณ์ที่รวบรวมบทสวด ความรู้และความเชื่อ เรื่องเล่าว่า ยักษ์ชื่อสังข์อสูร ไปพบพระพรหมบรรทมแล้วเห็นพระเวทไหลออกมาจากพระโอษฐ์ จึงขโมยพระเวทมา พระนารายณ์ทอดพระเนตรเห็นจึงตามไปทวงพระเวทคืน แต่ยักษ์กลับกลืนพระเวทลงท้องแล้วหนีลงมหาสมุทร พระนารายณ์ก็แปลงกายเป็นปลา เมื่อเจอสังข์อสูรจึงใช้พระหัตถ์ล้วงพระเวทในท้องจนเนื้อที่ปากของยักษ์เป็นรอยนิ้วพระนารายณ์ เมื่อได้พระเวทคืนพระนารายณ์สาปให้สังข์อสูรอยู่ในมหาสมุทรตลอดไป และสั่งให้มีสังข์เข้าร่วมพิธีมงคล เมื่อมนุษย์จะทำการมงคลจึงจับสังข์มาร่วมพิธี ตามเรื่องเล่าที่ถือว่าสังข์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพราะสังข์เคยเป็นที่อยู่ของคัมภีร์พระเวท คัมภีร์ที่ได้รับการบูชาสูงสุดในศาสนาพราหมณ์ ส่วนอีกหนึ่งเกร็ดจากเรื่องเล่า คือร่องรอยจากพระหัตถ์พระนารายณ์ที่ทิ้งไว้ที่ปากสังข์อสูร เมื่อนำหอยสังข์อินเดียมาพิจารณาจะเห็นร่องเป็นสันที่ปากสังข์ ส่วนนี้เองที่เรียกว่ารอยนิ้วพระนารายณ์ จากคติความเชื่อทำให้สังข์ถูกนำมาใช้ตั้งแต่สมัยโบราณ โดยเฉพาะใช้เพื่อความเป็นมงคล สังข์ที่นิยมนำมาใช้ประกอบพิธีมากที่สุด คือ สังข์อินเดีย เนื่องจากมีลักษณะถูกต้องตามหลักความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ นอกจากนี้ในอดีตสังคมอินเดียยังแบ่งสีของสังข์ตามวรรณะเพื่อเป็นเครื่องใช้ประจำตัว สีขาวสำหรับพราหมณ์, สีแดง น้ำตาล ชมพู สำหรับกษัตริย์, สีเหลือง สำหรับไวศยะหรือพ่อค้า และสีเทา ดำ สำหรับศูทร ชาวไร่ชาวนา ผู้ใช้แรงงาน สำหรับการใช้งาน มีทั้งใช้รดน้ำและใช้เป่า สังข์รดน้ำใช้ตามความเชื่อจากกำเนิดสังข์ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ เมื่อน้ำใดผ่านสังข์จึงถือเป็นมงคลด้วย ส่วนสังข์เป่าเป็นวิธีการใช้งานตั้งแต่โบราณกาล โดยการตัดปลายด้านจุกแหลมให้เป็นรู แล้วเป่าเกิดเสียงก้องกังวาน ใช้ทั้งเป็นเครื่องดนตรีและการส่งสัญญาณ ตามความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์ถือเป็นเสียงมงคล ด้วยเสียงที่ดังคล้ายเสียง “โอม” ซึ่งเป็นคำศักดิ์สิทธิ์ เป็นเสียงที่สร้างบรรยากาศอันเป็นมงคลในงานพิธี คำถามที่หลายคนสงสัยคือ สังข์ศักดิ์สิทธิ์ต้องเวียนซ้ายหรือเวียนขวา ซึ่งแท้จริงสังข์ที่มีลักษณะหายากนี้เรียกได้หลายชื่อ ทั้งมหาสังข์ สังข์ทักษิณาวัตร สังข์ทักขิณาวรรต คือสังข์อินเดียที่เวียนขวา (เวียนซ้าย เรียกอุตราวรรต) เวลาดูให้หันด้านที่เป็นจุกม้วนวนเข้าหาตัว หากปากสังข์เปิดทางขวา นั่นคือสังข์เวียนขวา วิธีการดูอย่างนี้ตรงกันข้ามกับการดูสังข์ทางชีววิทยา ตามหลักชีววิทยา มหาสังข์เวียนขวาจะเรียกว่าสังข์เวียนซ้าย เพราะใช้วิธีการดูด้านตรงข้ามกัน โดยทั่วไปหอยทะเลจะมีเปลือกหมุนเวียนซ้าย กรณีสังข์เวียนขวาจึงเกิดจากการผ่าเหล่า หาได้ยากชนิดที่ว่าเป็นหนึ่งในล้าน ที่มา : คอลัมน์ รู้ไปโม้ด น้าชาติ ประชาชื่น จากเทคโนโลยีชาวบ้านดอทคอม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พญาครุฑ

ครุฑ (สันสกฤต: गरुड) เป็นสัตว์ในนิยายในประมวลเรื่องปรัมปราฮินดูและปรากฏในวรรณคดีสำคัญหลายเรื่อง เช่น มหาภารตะ เล่าว่า ครุฑเป็นพี่น้องกับนาคแ...