วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ปาฏิหาริย์หลวงปู่ทวดของน้อยกมลวาทิน (ตอนจบ)


     มีอีกเรื่อง อันนี้เด็ด ตอนนั้นผมทำงานเป็นนายตรวจรถ อยู่บริษัทเฟี้ยต เสร็จแล้วผมต้องเป็นคนขับรถโชว์เพราะมีรถของบริษัทเฟี้ยตเป็นส่วนหนึ่งของรถในนั้น คือรถต่างประเทศ นอกนั้นมีรถประเภทต่าง ๆ อีกมากมาย มีซาบ มีฟอร์ด ฯลฯ ในบริษัทที่ผมทำเป็นบริษัทใหญ่ มีฝรั่งอยู่ตั้ง 70 คน มีผมคนเดียวที่เป็นคนไทย วันหนึ่งบริษัทให้เอารถเฟี้ยตไปลองให้ลูกค้าดู ในระหว่างที่ขับเลี้ยวจะเข้าบริษัท มีรถคันหนึ่งขับฝ่าไฟแดงมาชนรถยนต์ที่ผมขับมาจนเกือบหักเป็นท่อน แต่ผมไม่เป็นอะไรเลย ฝรั่งที่อยู่ในรถยังตกใจเลย มันนึกว่าจะตายเหมือนกัน รถถูกชนซะหักเลย ชนข้าง ผมลงมาเอ็ดตะโรลั่นเลย คนขับรถยนต์คันที่มาชนผมหน้าซีดขาวเหมือนกับผีเลย คิดว่าเราคงตายแน่ แต่ปรากฏว่าผมกับลูกค้าที่นั่งมาด้วยกันกลับไม่เป็นอะไรเลย นี่แหละครับอภินิหารของหลวงปู่ฯ ผมคิดว่าถ้าเป็นคนอื่นคงตายไปแล้วเพราะชนกันแรงมาก ชนซะรถผมเกือบขาดเป็นท่อน นี่ก็เป็นปาฏิหาริย์ของหลวงปู่ฯ เหมือนกันเพราะผมห้อยอยู่องค์เดียว ฝรั่งมันมองผม ผมก็มองมัน เพราะผมเชื่อในความปลอดภัยเชื่อในอภินิหารของท่านมาโดยตลอด และผมถืออย่างหนึ่งว่าถ้าจะออกจากบ้านหรือก่อนนอน ผมจะต้องสวดมนต์ตลอด ต้องสวดมนต์แล้วขอท่านตลอด ก็ไม่ได้ไปกวนท่านมากแต่เรานับถือท่านมาก เราต้องถือเอาท่านเป็นหลัก จนถึงเดี๋ยวนี้ผมยังห้อยพระอยู่องค์เดียวนี้แหละ

ข้อมูลจากหนังสือประวัติศาสตร์หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดโดยชุมศักดิ์ นรารัตน์วงศ์


วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ปาฏิหาริย์หลวงปู่ทวดของน้อยกมลวาทิน(ตอน 3)


     มีเหตุการณ์อื่น ๆ อีกที่เจอมา 

     อย่างแฟนผมที่อยู่ด้วยกันเคยท้องเสียอย่างรุนแรง ท้องเสียกระทั่งลืมตัว 4-5 ชั่งโมง แกลืมตัวจนไม่รู้พูดอะไรเลอะเทอะไปหมด จำตัวเองไม่ได้ เค้าเรียกทวารเปิด ผมก็ขอหลวงปู่ หยุดอีกเหมือนกัน หายไปเลยทั้ง ๆ ที่ตอนแรกว่าจะพาไปโรงพยาบาลแล้ว ผมบอกว่าเดี๋ยวถ้าไม่ไหวไปโรงพยาบาลกันนะ แต่พูดไปตอนนั้นแกไม่รู้เรื่องแล้ว บอกมาอยู่อะไรที่นี่ แกนึกว่าอยู่นิวยอร์ค ผมบอกไม่ใช่ ที่นี่อย่ในโครงการเมืองทองธานีที่เมืองไทย เลอะเทอะหมดเลย พูดไม่รู้เรื่อง ผมไม่กล้าเอาไปตอนแรกเพราะกลัวว่าจะไปถ่ายในรถ เดี๋ยวยุ่งกันใหญ่ เลยขอให้แกสวดมนต์ 

เหรียญหลวงปู่ทวด เหรียญทองรุ่นปี 2502

     แกก็สวดของแกนะแต่จำไม่ได้ ผมต้องบอกทีละคำให้ท่องตาม ไปขอหลวงปู่ ไปนอนอยู่บนโซฟาหน้าตู้พระ ผมบอกเห็นหรือเปล่านั่นหลวงปู่ฯ หลวงปู่ทวด ให้ว่าตามพ่อนะ พ่อจะสวดมนต์ให้บอกขอหลวงปู่ฯ เถอะอย่าให้เป็นอะไรไปเลยพวกเรากลัวเพราะอายุมากแล้ว ปรากฏว่าหยุดครับ หลับไปนะ พอตื่นขึ้นมาแกถามว่ามาอยู่เมืองไทยหรือนี่มาถามผม ผมก็งง พอรุ่งเช้าลุกได้มานั่งมองหน้ากัน นี่ถือเป็นอภินิหารของท่าน ของอย่างนี้เขาเรียกว่าทวารเปิดไงครับ ลืมหมด ลืมตัวแล้ว บางคนผู้ใหญ่บอกว่าถ้าขืนปล่อยไว้แบบนี้จะตายไม่รู้ตัวนะ นี่เป็นเรื่องที่เกิดในครอบครัวผม ในระหว่างที่ผมอยู่ผมก็อยู่ได้ด้วยหลวงปู่ฯ เรียกว่าไปอยู่ที่อเมริกาตั้ง 20 กว่าปีตั้งแต่ผมอายุเพียง 30 ปีได้อาศัยหลวงปู่ฯ คอยช่วยเหลือตลอด

น้อย กมลวาทิน ผู้อำนวยการสร้าง ผู้กำกับ เขียนบท ลำดับภาพ บันทึกเสียง


ติดตามตอนต่อไป

ข้อมูลจากหนังสือประวัติศาสตร์หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดโดยชุมศักดิ์ นรารัตน์วงศ์


วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ปาฏิหาริย์หลวงปู่ทวดของน้อยกมลวาทิน(ตอน 2)


     ตอนนั้นได้มาอย่างไร ผู้เขียนถาม

     คือตอนนั้นผมเป็นกรรมการวัดรุ่นที่ 2 ตอนที่ไปครั้งแรกได้เนื้อว่านมา รุ่นนี้ผมก็ไปเป็นกรรมการวัด ช่วงนั้น สุนนท์ คณานุรักษ์ เป็นกรรมการใหญ่อยู่ ผมไปแล้วบังเอิญเอาหนังไปพากย์ไปกับยายแดง ไปพากย์หนังที่ปักษ์ใต้เสร็จแล้วก็ไปเที่ยวกันที่ตลาดไปเจอพระที่ผมห้อยคอไว้นี่เป็นทอง 2 องค์นะครับ  ของผมหนักบาทหนึ่ง แล้วมีอีกองค์หนัก 75 ตังค์ นอกนั้นเป็นนาก 7 องค์ กับเหรียญเป็นเสมาเงินอีกราว ๆ สัก 12 องค์ เท่าที่ผมจำได้ไปเจออยู่ในร้านทอง ร้านทองเขาทำบล็อกขึ้นมาปั้ม เสร็จแล้วผมไปบอกกับพี่นนท์ ตอนนั้นเขาเป็นนักเลงใหญ่อยู่ที่ยะลา ผมบอกไปดูซิร้านทองนี้มีเหรียญหลวงพ่อทวดอยู่ในร้านตั้งหลายองค์จึงตัดสินใจเดินทางไปดูด้วยกัน เอากล้องไปส่องดู หลังจากนั้นขอซื้อเลย ขนาดเจ้าของยังตกใจ เจ้าของร้านตกใจเพราะเราเหมาหมดทั้งบล็อกด้วย หลังจากนั้นผมก็นำไปเข้าพิธีเลย รุ่น 2 ที่ผมห้อยคออยู่ องค์หนึ่งผมให้ลูกสาวไป ลูกสาวให้หลานผมห้อยคอต่อ เด็กคนใช้สมัยเมื่อ 30 ปีก่อนแกเอาไปเลย จนเหลือที่ผมอยู่เพียงองค์เดียว ไม่ได้เลี่ยมอะไรไว้ด้วย ห้อยไว้เฉย ๆ พรรคพวกบางคนบอกว่าทำไมไม่เลี่ยม เดี๋ยวก็สึกหมด ผมบอกผมห้อยมาอย่างนี้ตั้ง 40 ปีแล้วไม่เห็นสึกหรอเลย เป็นเรื่องอัศจรรย์ แปลกดี

ติดตามตอนต่อไป
ข้อมูลจากหนังสือประวัติศาสตร์หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดโดยชุมศักดิ์ นรารัตน์วงศ์

วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ปาฏิหาริย์หลวงปู่ทวดของ(น้อย กมลวาทิน)


     ครั้งแรกตอนนั้นผมอยู่ที่อเมริกาเส้นโลหิตฝอยแตกทำให้เลือดกำเดาไหลไม่หยุด ตั้งแต่ 11 โมงกลางคืนจนถึงตี 5 ตอนนั้นผมอยู่ในนิวยอร์ค เลือดนี่หยดติ๋ง ๆ ไหลออกมาจากจมูกตลอด ต้องเอากระโถนรองไว้ เสร็จแล้วหลานสาวผมโทรศัพท์เรียกรถพยาบาลฉุกเฉินจากโรงพยาบาลชื่อโรงพยาบาลจาไมก้า ระหว่างที่ผมคอยไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะว่าเลือดชักออกมากขึ้น จึงตัดสินใจอธิษฐานถึงหลวงปู่ทวดสวดนะโมโพธิสัตโต 3 จบ ขอให้หายเถอะ จะทนไม่ไหวแล้ว แต่ตอนนั้นกำลังใจผมยังดี เอาสำลีอุดจมูกไว้ 2 ข้าง หายใจทางปาก แล้วลงมารอรถพยาบาลอยู่ด้านล่างริมถนน พอรถพยาบาลมาถึงผมดึงเอาสำลีที่อุดจมูกออก ไม่มีอะไรสักหยด

เลือดไม่มีเลยเหรอ ผู้เขียนถาม

     ไม่มีเลยผมเองยังตกใจ เชื่อว่าเป็นเพราะผมขอหลวงปู่ฯ ไว้ เสร็จแล้วรถพยาบาลมาแล้วผมก็ขึ้นไป พอไปถึงโรงพยาบาลหมอไปเอ็กซเรย์ตรวจ หมอหาว่าผมล้อเล่นบอกว่า Are you kidding me ? ผมบอกไม่ได้ล้อเล่น เพิ่งจะมาหยุดตอนที่ถึงโรงพยาบาลได้ประมาณหกโมงเช้า หมอไม่เชื่อ บอกว่าตรวจแล้วไม่เห็นมีอะไร นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ผมโดนกับตัวผมเอง และผมก็ห้อยหลวงปู่อยู่องค์เดียว เป็นเหรียญทองรุ่นปี 2502

ติดตามตอนต่อไป
ข้อมูลจากหนังสือประวัติศาสตร์หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดโดยชุมศักดิ์ นรารัตน์วงศ์

วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

พลังพระป่าสยบฤทธิ์เหล็กไหล


      หลวงปู่จันทร์ดี เกสาโว เล่าถึงการเดินธุดงค์ไปกับ หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ และ หลวงปู่ชม เพื่อข้ามไปฝั่งประเทศลาว เพื่อไปดูเหล็กไหล ที่ถ้ำสระบัวประเทศลาวว่า " กลุ่มของพระอาจารย์เสาร์เดินธุดงค์ไปจากเมืองไทย ได้ลงมติว่า ขืนปล่อยให้มีเหล็กไหลปรากฏอยู่เช่นนี้ ก็คงจะทำลายต่อผู้ที่โลภโมโทสันอยู่ตลอดไป จึงเดินทางไปถ้ำสระบัว ที่ภูเขาควาย เพื่อไปดูเหตุการณ์และตัดไฟแต่ต้นลม" ท่านกล่าว
      การเดินทางไปภูเขาควายครั้งนี้ ระหว่างทาง หลวงปู่จันทร์ดี ขณะนั้นยังเป็นสามเณร ก็ได้เล่าเรื่องราวการตัดเหล็กไหล และการเสียชีวิตของพระอาจารย์ทั้ง 5 ให้หลวงปู่มั่นฟัง หลวงปู่มั่นท่านได้แต่หัวเราะและบอกทางหลวงปู่จันทร์ดีว่า " เณรน้อยเอ๋ย อันว่าเหล็กไหลนั้นพระพุทธองค์ได้ตรัสห้ามไว้ว่า อย่าได้พยายามไปค้นหา เพราะมันเป็นเรื่องปัญหาอจินไตย"
     "คำว่าปัญหาอจินไตย หมายความว่าอย่างไรครับ" หลวงปู่จันทร์ดีถามพระอาจารย์มั่น "ความหมายของคำว่า ปัญหาอจินไตย คือ ห้ามมิให้คิดค้นหาข้อสรุปของเหล็กไหล ถ้าอยากรู้ข้อเท็จจริงของเรื่องราว ก็ไปค้นหาอ่านใน โลกธรรมสูตร อังคุตระนิกาย พระไตรปิฏก เล่มที่ 35เถิด " หลวงปู่มั่นกล่าวตอบ
      พอถึงถ้ำสระบัว หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ และ หลวงปู่ชม ต่างก็ทำพิธีเตรียมตัดเหล็กไหล โดยในขณะนั้น พระมหาปาน ได้น้ำน้ำผึ้งทาตามบริเวณถ้ำที่เหล็กไหลติดอยู่ ลักษณะการทาน้ำผึ้งของท่านทำอาการคล้ายๆการฉาบปูน คือทาจนผนังเยิ้มไปด้วยน้ำผึ้ง จากนั้นหลวงปู่เสาร์ก็ใช้เทียนชัยเล่มใหญ่มาก หนักประมาณ 32 บาท ไส้เทียน 108 เส้น ลนไปรอบๆปุ่มเหล็กไหล 3 รอบ จากนั้นก็หยุดลนไฟ แล้วนั่งทำพิธีบริกรรมภาวนาต่อ ทันใดนั้น คล้ายมีเสียงดังหนักๆ ถูกลากหรือเคลื่อนตัวมากับพื้นหินถึงขนาดทำให้พื้นถ้ำสั่นสะเทือน และมีเสียงดังเอี๊ยดๆและเสียงดังยาวเยือกเย็นเฉียบไปถึงสันหลัง ดังออกมาด้วยเป็นระยะ จนกระทั่งเสียงเคลื่อนครืดๆมาถึงเหล็กไหล
      ปรากฏว่าปุ่มเหล็กไหลเยิ้มออก คล้ายยางมะตอยทะลัก และเหมือนกับหัวงูแลบลิ้นสองแฉก ออกมาให้เห็นอยู่แวบๆ
หลวงปู่เสาร์ท่านพุดว่า "ที่เจ้าสำแดงร่างปรากฏออกมาแบบนี้ ไม่เป็นสิ่งดีงามเลย ทำให้ทุกคนตระหนกตกใจกลัว และมีอาการเหมือนเป็นศัตรูกัน อันพวกเราที่มานี้ ก็เพียงต้องการอยากจะช่วยผู้ที่โลภโมโทสัน ไม่ให้มีอันตราย พวกเราไม่ต้องการให้มีการตายเกิดขึ้นอีก"
      พอหลวงปู่เสาร์พูดจบ หัวงูอันน่าสะพรึงกลัวนั้นก็หยุดนิ่งแต่ยังคงแลบลิ้นสองแฉกอยู่แปลบๆตามเดิม โดยไม่ได้ล้ำหน้าออกมา ดังนั้นหลวงปู่เสาร์จึงนำเทียนชัยไปลนอีกครั้ง ปรากฏว่าปุ่มเหล็กไหลได้เยิ้มไหลลงมาที่โถลายครามเคลือบ ซึ่ง หลวงปู่ชมท่านได้บรรจุน้ำผึ้งไว้ครึ่งโถ ถือรองรับคอยที่อยู่แล้ว
     หลวงปู่มั่นและพระมหาปาน ซึ่งนั่งสวดอยู่รอบๆ ก็ได้ลุกขึ้นมาพร้อมกัน โดยหลวงปู่มั่น ใช้ใบหญ้าคา ซึ่งผ่านการปลุกเสกมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ นำไปตัดเหล็กไหลที่กำลังย้อยลงมากินน้ำผึ้งพอหลวงปู่มั่น นำใบหญ้าคา ลงไปจรดที่ตัวเหล็กไหลเท่านั้น ปรากฏว่าเหล็กไหลขาด คล้ายๆกับเราเอามีดคมๆ ไปปาดที่หนังสติกอย่างไรอย่างนั้นแหละ คือไหลขาดตกลงถึงโถเคลือบ ปรากฏว่าโถในมือของหลวงปู่ชม กระเด็นหลุดจากมือ ตกลงไปยังพื้นถ้ำ น้ำผึ้งกระจายหกเลอะพื้นถ้ำ   ท่ามกลางน้ำผึ้งที่แตกกระจาย หลวงปู่เสาร์ได้เดินไปหยิบก้อนเหล็กไหลใส่ลงในย่ามของท่าน ส่วนกลุ่มเหล็กไหลที่เหลือก็ดีดผึงกลับคืนผนังถ้ำ จนผนังถ้ำแตกร้าว เสียงดังสนั่นหวั่นไหวเหมือนเสียงฟ้าผ่า แผ่นดินแทบถล่มทลาย จากนั้นก็เงียบสนิทไปเหมือนเดิม
      หลวงปู่เสาร์ และหลวงปู่ชม ก็เริ่มทำพิธีตัดเหล็กไหลต่อและได้ทำพิธีเหมือนครั้งแรกคือการตัดแต่ละครั้ง โถเคลือบที่บรรจุน้ำผึ้งจะต้องกระเด็นหลุด จากมือ หลวงปู่ชม ทุกครั้ง แต่โถเคลือบใบนั้นก็ไม่มีวี่แววจะแตก และ หลวงปู่เสาร์ ก็เดินไปหยิบก้อนเหล็กไหลที่ตัดได้มาใส่ย่ามทุกครั้ง
      การกระทำพิธีของกลุ่มพระธุดงค์ คล้ายผ่านการวางแผนมาแล้ว เป็นอย่างดี คือพระอาจารย์ทุกองค์ ต่างก็ทำหน้าที่ของท่านในแต่ละหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ และในขณะทำพิธีจะไม่มีการพูดคุยกันเลย ท่านกระทำเช่นนั้นถึง 6 ครั้ง ตัดกันจนปุ่มที่เห็นขนาดเท่าตุ่มฆ้องนั้น เรียบหายไปกับผนัง ท่านจึงหยุดทำพิธี จึงเป็นอันว่าสิ้นสุดกันที สำหรับเหล็กไหลที่ถ้ำสระบัว ภูเขาควาย ประเทศลาว

เรียบเรียงโดย
กิตติ จิตรพรหม
เรื่องเล่าจากเว็บ https://www.tnews.co.th/

เหล็กไหลในลาว (ตอนจบ)


     ได้เกิดเสียงลั่นเปรี๊ยะ ๆ ครืน ๆ ราวกับฟ้าร้องหน้าฝนตามมาด้วยเสียงเหมือนฟ้าผ่าดังกึกก้องสนั่นหวั่นไหว  มีประกายแสงสว่างเจิดจ้าจนนัยน์ตาพร่าพรายมองไม่เห็นอะไร แก้วหูสามเณรจันดีเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ไม่มีชิ้นดี ต้นตะแบกและต้นตะเคียนที่ถูกสายใยเหล็กไหลพันไว้รอบนั้นล้มครืนลงราวกับโดนพายุใหญ่ถล่ม
     เมื่อสามเณรจันดีสามารถปรับสายตาได้เป็นปกติในเวลาต่อมาก็พบว่าสายใยเหล็กไหลที่พันอยู่กับต้นไม้นั้นได้หายไปแล้ว พบแต่ซากศพของพระอาจารย์สมบูรณ์นอนกลิ้งอยู่หน้าถ้ำในลักษณะอาการสยดสยอง เหลือที่จะกล่าว คือแขนขาดทั้งสองข้างส่วนศีรษะไม่รู้ขาดกระเด็นไปทางไหน เหลือแต่คอที่กุดด้วนแต่น่าพิศวงว่า ไม่มีเลือดไหลออกมาเลยสักหยดเดียว
     เสียงระเบิดกึกก้องจนภูเขาควายทั้งลูกสั่นไหวนั้น ทีแรกสามเณรจันดีเข้าใจว่า ถ้ำสระบัวถล่มลงแต่ไม่ใช่ เพราะถ้ำยังคงอยู่ในสภาพเดิม แต่เสียงระเบิดดังกัมปนาทนั้นจะเกิดจากอะไรไม่ทราบได้ จึงวิ่งเข้าไปดูในถ้ำสระบัวจุดเทียนไขส่องดูก็ได้เห็นภาพสยดสยองเหมือนสภาพศพของพระอาจารย์สมบูรณ์คือ พระอาจารย์นักตัดเหล็กไหลทั้ง 4 รูปนั้น คอขาด ตัวขาด แขนขาด ซากศพกลิ้งอยู่ไม่เป็นที่เป็นทาง ส่วนศีรษะนั้นขาดหายไปหมด หาไม่พบแต่ที่น่าอัศจรรย์ก็คือทุกศพไม่มีเลือดไหลออกมาสักหยดเลย คล้ายถูกสิ่งลึกลับอาถรรพณ์สูบเอาเลือดไปหมดสิ้น
     พระอาจารย์ทั้ง 5 รูป ได้ถูกเหล็กไหลในถ้ำสระบัวภูเขาควายสังหาร ผลาญชีวิตถึงแก่มรณภาพไปอย่างสยดสยอง สามเณรจันดีก็ขวัญหนีดีฝ่อ ไม่สามารถควบคุมสติได้วิ่งเตลิดจีวรปลิวออกจากถ้ำสระบัวด้วยความกลัวสุดขีด กว่าจะถึงหมู่บ้านหัวดงเพื่อบอกกล่าวให้ชาวบ้านได้รับรู้ก็ล้มลุกคลุกคลานมาแทบจะเอาชีวิตไม่รอด
     ไม่เก่งจริงไม่มีบุญญาบารมีพอ อย่าได้หาญกล้าไปเล่นกับเหล็กไหลเป็นอันขาด แม้ได้มาแล้วจะจำหน่ายจ่ายแจกในราคาเป็นล้าน ๆ ก็ไม่คุ้มกับที่จะเอาชีวิตไปเสี่ยงกับสิ่งที่เป็นกายสิทธิ์ เต็มไปด้วยอานุภาพฤทธิ์เดชอย่างนั้น

     จากหนังสือเหล็กไหลธาตุกายสิทธิ์โดยทีมงานเฉพาะกิจ
วิทยา ประทุมธารารัตน์ บรรณาธิการ

เหล็กไหลในลาว (ตอนที่ 8)


         พระอาจารย์วันนาจะทำหน้าที่ใช้เทียนลนตรงปุ่มเหล็กไหลให้พระอาจารย์รูปอื่น ๆ สวดคาถาต่าง ๆ ทั้งทางพุทธและทางไสยศาสตร์ที่เกี่ยวกับการตัดเหล็กไหล ตามตำราคัมภีร์อาถรรพณ์เวทที่ได้ศึกษากันมา เมื่อเหล็กไหลเคลื่อนไหวตัวย้อยลงมากินน้ำผึ้งในถ้วยตีนช้างที่พระอาจารย์สมบูรณ์เป็นผู้ถือไว้ ให้พระอาจารย์โพธิ์และพระอาจารย์แก้วคอยเติมน้ำผึ้งลงในถ้วยเรื่อย ๆ จนกระทั่งเหล็กไหลกินน้ำผึ้งอิ่มแล้วจึงค่อยตัดเอาเหล็กไหล ส่วนอาจารย์สิงห์นั้นจะต้องสวดมนต์ โอมอ่านคาถามหาเวทไปอย่าหยุด ขืนหยุดเมื่อไรจะทำให้เสียพิธีเมื่อนั้น ต้องสวดให้ถูกต้องตามอักขระวิธี จะผิดไม่ได้

     ขณะที่สามเณรจันดีนั่งดูแลข้าวหลามในกองไฟอยู่ที่ข้างนอกถ้า ก็ได้เห็นพระอาจารย์สมบูรณ์ถือถ้วยใส่น้ำผึ้งเดินออกจากถ้ำมาที่ข้างนอกถ้ำ สามเณรจันดีก็ได้เห็นเส้นเหล็กไหลยืดยาวตามถ้วยน้ำผึ้งออกมาจากในถ้ำด้วย เป็นเส้นเล็ก ๆ เปล่งประการระยิบระยับสวยงามมากเส้นนั้นเล็กขนาดใยบัวเห็นจะได้เปล่งแสงสว่างมากเพราะตอนนั้นเริ่มมืด พระอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาจวนจะค่ำพอดี
     อาจารย์สมบูรณ์ได้ร้องบอกให้สามเณรจันดีถอยห่างออกไปไกล ๆ เพราะจะเอาเหล็กไหลที่ยืดยาวเป็นเส้นใยเล็ก ๆ พันรอบต้นไม้ใหญ่ที่หน้าถ้ำ คือต้นตะแบกและต้นตะเคียน พระอาจารย์สมบูรณ์บอกว่าอยากได้เหล็กไหลก้อนโต ๆ จึงให้เหล็กไหลยืดตัวเองตามถ้วยน้ำผึ้งที่ใช้ล่อ ด้วยการเดินวนสระน้ำในถ้ำสองรอบ เหล็กไหลก็ยืดออกมาเรื่อย ๆ เล็กลงเรื่อย ๆ จนเท่าใยบัวเมื่อเอาออกมาพันเข้ากับต้นไม้ หน้าถ้ำตามที่เห็นนี่แหละ
     สามเณรจันดีเมื่อได้เห็นแล้วก็บังเกิดความตื่นเต้นอัศจรรย์ระคนหวาดกลัวพรั่นพรึงอย่างบอกไม่ถูก จึงได้รีบถอยห่างออกไปอยู่ไกล ๆ เพราะหวาดเกรงอันตราย ฝ่ายพระอาจารย์สมบูรณ์เอาเส้นใยเหล็กไหลพันรอบ ๆ ต้นไม้ได้ครบสองรอบแล้ว ทันใดก็เกิดเสียงดังครืนสนั่นถ้ำสะเทือนไหวยวบคล้ายจะถล่ม พระอาจารย์สมบูรณ์เห็นเหล็กไหลกินน้ำผึ้งอิ่มแล้ว จึงร้องบอกเข้าไปในถ้ำให้พระอาจารย์วันนาเอามีดหมอตัดตรงโคนเหล็กไหลได้แล้ว เพราะเหล็กไหลยืดยาวจนเป็นเส้นเล็กขนาดใยบัวก็ยังไม่ขาดออกจากกัน จำเป็นต้องตัดด้วยมีดหมอตามพิธีกรรม ทันใดนั้น

     ติดตามตอนต่อไป
จากหนังสือเหล็กไหลธาตุกายสิทธิ์โดยทีมงานเฉพาะกิจ
วิทยา ประทุมธารารัตน์ บรรณาธิการ

วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

เหล็กไหลในลาว (ตอนที่ 7)

     ต่อมาวันรุ่งขึ้น ซึ่งตรงกับวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 ปี พ.ศ.2481 หรือประมาณ 81 ปีมาแล้ว (“ไตรทิพย์” บันทึกไว้เมื่อ พ.ศ.2535) พระอาจารย์ทั้ง 5 ได้เตรียมการที่จะขึ้นไปยังภูเขาควายอีก หลังจากฉันเพลแล้วจึงได้ออกเดินทางตามฤกษ์ โดยมีสามเณรจันดีติดตามไปด้วยอีก เมื่อขึ้นไปถึงถ้ำสระบัวก็พบว่า การเผาข้าวหลามเมื่อวันวานนี้ทำให้ถ้ำสกปรกมาก เพราะขี้เถ้าเขม่าควันกระจัดกระจาย พระอาจารย์วันนาจึงสั่งให้สามเณรจันดีที่จะเผาข้าวหลามอีก ให้เอาข้าวหลามไปเผาที่ข้างนอกถ้ำ

เหล็กไหลสีท้องปลาไหลจากเว็บพันทิพ

     เหตุที่จะเผาข้าวหลามอีกในตอนบ่าย ไม่ใช่เพราะอยากจะฉันข้าวเย็นแต่ประการใด หากเตรียมเผาข้าวหลามเอาไว้ขบฉันในตอนเช้า เพราะได้กำหนดไว้ว่า คืนนี้จะนอนค้างในถ้ำ การเตรียมอาหารบิณฑบาตไว้ล่วงหน้าย่อมเป็นความรอบคอบไม่ประมาท หากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นในคืนนั้นหรือในวันรุ่งขึ้น ก็จะได้ไม่กังวลเรื่องอาหารขบฉัน เพราะได้หลามข้าวเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วหลายกระบอกนั่นเอง
     เห็นจะเป็นด้วยปุพวาสนาในทางธรรมของสามเณรจันดี ที่จะเป็นผู้มีวาสนาบารมีก้าวหน้าในทางธรรมไปอีกไกลในอนาคต ดวงชะตายังไม่ถึงคราวขาดถึงฆาต และมีเทวดาอุ้มชูรักษา จึงบันดาลให้อาจารย์วันนาสั่งให้ออกจากถ้ำไปทำการเผาจี่ข้าวหลามที่ข้างนอกถ้ำ ความจริงสามเณรจันดีอยากจะอยู่ในถ้ำ ดูพิธีกรรมตัดเหล็กไหลให้เห็นจะ ๆ กับตา เมื่อถูกให้ไล่ออกมาจากถ้ำมาหลามข้าวหลาม จึงรู้สึกผิดหวังเสียใจอยู่ไม่น้อย เพราะไม่ได้ดูชมการตัดเหล็กไหล
     สามเณรจันดีเที่ยวเก็บไม้ฟืนแถว ๆ ข้างนอกถ้ำมาก่อไฟขึ้นเผาข้าวหลาม ส่วนหูนั้นก็คอยสดับตรับฟังเสียงพระอาจารย์ทั้ง 5 สวดมนต์ดังกระหึ่มลอดออกมาจากข้างในถ้ำอยู่ตลอดเวลา ก็พอจะเดาออกว่าข้างในถ้ำกำลังทำพิธีกรรมตัดเหล็กไหลอย่างไร เพราะได้ฟังแผนการตัดเหล็กไหลมาแล้ว ตอนที่พระอาจารย์ทั้ง 5 ปรึกษาวางแผนกันตอนอยู่ที่บ้านหัวดง ตามแผนมีอยู่ว่า

ติดตามตอนต่อไป
จากหนังสือเหล็กไหลธาตุกายสิทธิ์โดยทีมงานเฉพาะกิจ
วิทยา ประทุมธารารัตน์ บรรณาธิการ

วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

เหล็กไหลในลาว (ตอนที่ 6)

     เสร็จจากฉันเพลแล้ว พระอาจารย์ทั้ง 5 รวมทั้งสามเณรจันดีด้วย ก็ได้ร่วมกันสวด ยถาสัพพีฯ สวดคาถาชยันโตฯ สดุดี เทวดาตามธรรมเนียม จากนั้นพระอาจารย์วันนาก็ได้รดน้ำผึ้งเทใส่ถ้วยที่เตรียมมา มือซ้ายถือถ้วยน้ำผึ้ง ส่วนมือขวาถือเทียนชัยที่จุดไฟแล้ว เอาเทียนชัยไปลนตรงปุ่มเหล็กไหลสีดำมะเมื่อมที่เกาะอยู่ตรงผนังถ้ำ พร้อมกับท่องคาถาอัญเชิญเหล็กไหลตามตำรา
     ทันใดก็เกิดปฏิกิริยาเคลื่อนไหวที่ปุ่มเหล็กไหลนั้น คล้ายจะเยิ้มแยกขยายออก ลักษณะเป็นรูปร่างเหมือนหัวงู เป็นสีเขียว แดง ดำ อ้าปากกว้างเหมือนจะขู่ ทำให้พระทุกองค์ผงะตกตลึงไปตาม ๆ กัน อาจารย์วันนาจึงถือเทียนชัยออกมาจากปุ่มเหล็กไหล ภาพหัวงูก็หดกลับเข้าที่เดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดูคล้ายภาพมายาหรือภาพหลอกลวงตาน่าพิศวง แต่เพื่อความแน่ใจ อาจารย์วันนาได้ทดลองดูอีก โดยใช้เทียนลนดูอีกถึง 2-3 ครั้ง เหล็กไหลนั้นก็แสดงปฏิกิริยาเยิ้มออกมาแปรสภาพเป็นหัวงู แยกเขี้ยวขู่คุกคามทุกครั้ง
     อาจารย์สมบูรณ์เริ่มใจกล้าเอาไม้แหย่ดู ก็ไม่เห็นเหล็กไหลกระดุกกระดิกแต่อย่างใด จึงเอาผ้าอาบน้ำฝนมาพับเข้ากับมือแล้วเอื้อมไปจับคลำดูที่ปุ่มเหล็กไหล ปรากฏว่าเหล็กไหลเย็นเหมือนน้ำแข็ง ความเย็นนั้นแล่นปราดถึงขั้วหัวใจเลยทีเดียว อาจารย์องค์อื่นเห็นเช่นนั้นก็ใจกล้า ขอทดลองเอามือจับดูบ้าง ก็มีความสุขตรงกันว่า เหล็กไหลเย็นเยือกเข้าถึงขั้วหัวใจน่าประหลาด
     เนื่องจากเทียนชัยที่ทำยังอ่อนตัวไม่แข็งดี จึงไม่สามารถจะทำพิธีกรรมตัดเอาเหล็กไหลได้ในวันนั้นจะต้องทิ้งให้เทียนชัยแข็งตัวสักคืนเสียก่อน จึงพากันออกจากถ้ากลับมายังบ้านหัวดงหรือดงน้อย ทำให้ชาวบ้านแปลกใจมากที่คณะพระธุดงค์ไม่ได้รับอันตราย เหตุที่ยังไม่ได้รับอันตรายก็เพราะว่า กรรมในการกระทำยังไม่เดินไปจนครบวงจรนั่นเอง เทวดาเจ้าป่าเจ้าเขา จึงยังไม่ลงมือจัดการลงโทษขั้นเด็ดขาด รอจังหวะอยู่อย่างใจเย็น เปรียบประดุจพยัคฆ์ร้ายในป่ารอจ้องตะครุบเหยื่อ

ติดตามตอนต่อไป
จากหนังสือเหล็กไหลธาตุกายสิทธิ์โดยทีมงานเฉพาะกิจ
วิทยา ประทุมธารารัตน์ บรรณาธิการ

วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

เหล็กไหลในลาว (ตอนที่ 5)


ภาพป่าลึกจาก google sites

     สามเณรจันดี ซึ่งต่อมาก็คือหลวงปู่จันดี เกสาโว ซึ่งอยู่ร่วมในเหตุการณ์สำคัญยิ่งครั้งหนึ่ง จำได้แม่นยำไม่ลืมเลือนว่า เมื่อพระธุดงค์ทั้ง 5 เห็นพ้องต้องกันว่า สิ่งนั้นคือเหล็กไหลร้อยเปอร์เซ็นต์ อาจารย์วันนาหรือวรรณา ซึ่งมาจากวัดบ้านเลิง อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคามได้มอบหมายให้อาจารย์โพธิ์ไปหาน้ำผึ้งในป่าแถวนั้น ซึ่งมีรังผึ้งอยู่ตามต้นไม้ใหญ่และหน้าผาสูงมากมาย
     ส่วนอาจารย์สมบูรณ์กับอาจารย์สิงห์และอาจารย์แก้ว ได้ช่วยกันเตรียมข้าวสารทำข้าวหลามเพราะช่วงนั้นใกล้เพลแล้ว ส่วนสามเณรจันดีมีหน้าที่ไปหาไม้ไผ่มาทำกระบอกข้าวหลาม และหาไม้มาสุมไฟในถ้ำให้เกิดความสว่างไสว (สำหรับบันทึกของ “ไตรทิพย์” ตรงนี้ พระอาจารย์สิทธา เชตะวัน ได้เขียนแทรกข้อสังเกตว่า...หน้าที่หุงข้าวก็ดี ทำข้าวหลามก็ดี เป็นหน้าที่ของตาผ้าขาวหรือสามเณรเท่านั้น ส่วนพระภิกษุถ้าริเริ่มทำตั้งแต่จัดแจงเรื่องข้าวสารก็ถือว่าผิดพระวินัยแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้ลงมือเผาข้าวหลามก็ถือผิดพระวินัยอยู่ดี เพราะไปจับต้องข้าวสาร มีเจตนาจะทำข้าวหลาม เจตนาเป็นตัวกรรม ฉะนั้นเทวดาเจ้าป่าเจ้าถ้ำเห็นแล้วย่อมไม่พอใจอย่างแน่ ๆ  ที่พระภิกษุละเมิดพระวินัยเช่นนั้น มีหลักสัจธรรมอยู่ว่าพระธุดงค์จะปลอดภัยในป่าถิ่นอันตราย ศีล พระวินัย ต้องเคร่งครัดบริสุทธิ์อย่างที่สุด ถ้าศีลขาดศีลด่างพร้อย จะได้รับอันตรายทันที)


ภาพข้าวหลามจาก youtube.com

     ส่วนอาจารย์วันนา ได้จัดแจงต้มเทียนผสมหัวรังผึ้งเพื่อทำเทียนชัย ซึ่งจะต้องใช้ขี้ผึ้งบริสุทธิ์ล้วน ๆ ใส่ลงไปในกระบอกไม้ไผ่ยาว ๆ และใชฝ้ายหนึ่งใจแทงไว้กลางกระบอกไม้ไผ่เพื่อทำเป็นใส้เทียนจากนั้นรอให้เทียนเย็นจนกว่าจะจับตัวแข็ง จึงใช้มีดฟันกระบอกไม้ไผ่ออกจึงจะได้เทียนชัยที่สมบูรณ์ ในขณะที่รอให้เทียนที่แข็งตัวอยู่นั้น อาจารย์โพธิ์ก็กลับมาพร้อมน้ำผึ้งครึ่งบาตร (การที่พระไปเอารวงผึ้งคั้นเอาน้ำผึ้งนี้ถือว่าผิดศีลข้อปาณาติบาต คือฆ่าสัตว์) ขณะนั้นได้เวลาเพลพอดีจึงพากันฉันเพล

ติดตามตอนต่อไป
จากหนังสือเหล็กไหลธาตุกายสิทธิ์โดยทีมงานเฉพาะกิจ
วิทยา ประทุมธารารัตน์ บรรณาธิการ

วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

เหล็กไหลในลาว (ตอนที่ 4)


   
ต้นตะแบกร้อยปี จากเว็บ โอเคเนชั่นด็อทเน็ต
    พระธุดงค์ทั้ง 5 องค์ต่างก็สนใจในข่าวเหล็กไหลนั้นเป็นอย่างยิ่ง ได้ปรึกษาหารือกันว่าสมควรจะไปดูเหล็กไหลในถ้าสระบัวดีหรือไม่ เสียงของทุกรูปลงมติเห็นพ้องต้องกันว่า “ต้องไปพิสูจน์” โดยจะออกเดินทางไปในพรุ่งนี้เช้า
     ฝ่ายนายน้อยกับนายตาได้ห้ามปรามด้วยความหวังดีว่า ไม่ควรจะไปยุ่งเกี่ยวกับเหล็กไหลในถ้ำนั้น เพราะมีอันตรายมาก เกรงว่าพระอาจารย์ทั้ง 5 จะได้รับอันตราย พระอาจารย์สมบูรณ์ได้กล่าวว่าอยากจะขึ้นไปดูเหล็กไหลในถ้ำสระบัวเฉย ๆ คงไม่เป็นอะไร ขออย่าให้โยมวิตกกังวลเลย นายตากับนายน้อยก็ก็ไม่ว่าอะไรอีก
     เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากบิณฑบาตขบฉันอาหารแล้ว พระธุดงค์ทั้ง 5 ผู้แสวงหาธรรมและแสวงหาเหล็กไหลก็พาสามเณรจันดีออกเดินทางบุกป่าฝ่าดงขึ้นไปยังภูเขาควายเพื่อค้นหาถ้ำสระบัวตามที่นายน้อยนายตาได้บอกไว้อย่างละเอียด แล้วได้พบถ้ำแห่งหนึ่งมีลักษณะตรงกับที่นายตาและนายน้อยได้บอกไว้ว่าจะเป็นถ้ำสระบัว
     ถ้ำนั้นสะอาดสะอ้าน หน้าถ้ำเป็นลานหินกว้าง มีต้นตะแบก 3-4 ต้นขึ้นอยู่หน้าถ้ำ ภายในถ้ำกว้างขวางที่กลางถ้ำมีสระน้ำเล็ก ๆ น้ำใสสะอาดและที่ผนังถ้ำด้านขวามือมีน้ำซึมไหลออกมาอยู่ตลอดเวลา มีตะไคร่น้ำสีเขียวจับอยู่เป็นหย่อม ๆ ลักษณะเป็นถ้ำเหมาะสำหรับนั่งบำเพ็ญเพียรภาวนาเป็นที่สุด
     พระอาจารย์สมบูรณ์จากวัดบ้านคุยเชือก ได้เดินสำรวจดูตามผนังถ้ำ ก็ได้พบกับวัตถุสิ่งหนึ่งมีลักษณะดำมะเมื่อมติดอยู่ตรงผนังถ้ำห่างจากบริเวณน้ำซึมประมาณสองวา ลักษณะเป็นตุ่มคล้ายกับตุ่มฆ้องวงมโหรีอย่างนั้นแหละ พระอาจารย์สมบูรณ์ได้เรียกให้พระธุดงค์ที่เป็นสหธรรมมิกมาดูชมแล้วถามว่า สิ่งที่เห็นอยู่นี้คืออะไร?
     พระอาจารย์โพธิ์ วัดบ้านดอน อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม พระอาจารย์สิงห์ วัดบ้านเกาะ อำเภอเดียวกัน พระอาจารย์วันนา วัดบ้านเลิง อำเภอเดียวกัน และ พระอาจารย์แก้ว วัดบ้านไผ่ใหญ่ อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลฯ ซึ่งล้วนมีความเชี่ยวชาญในไสยเวทย์วิทยาคม รอบรู้วิชาวัตถุอิทธิกายสิทธิ์ในหนังสือก้อมและหนังสือผูกใบลาน อันเป็นโบราณคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของภาคอีสาน ได้ช่วยกันเพ่งพิจารณาดูสิ่งลึกลับที่เกาะตัวดำมะเมื่อมอยู่บนผนังถ้ำนั้นอย่างพินิจพิเคราะห์ ใช้สมาธิจิตสัมผัสอยู่พักใหญ่ ต่างก็ลงความเห็นตรงกันว่า “นั่นแหละเหล็กไหล”

ติดตามตอนต่อไป
จากหนังสือเหล็กไหลธาตุกายสิทธิ์โดยทีมงานเฉพาะกิจ
วิทยา ประทุมธารารัตน์ บรรณาธิการ

วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

เหล็กไหลในลาว(ตอนที่3)


    
หลวงปู่จันดี เกสาโว ภาพจากเว็บ tnews.co.th
     พระอาจารย์ทั้ง 5 สะดุ้งไปตาม ๆ กัน เพราะหนานน้อยหนานตาเล่นถามแทงใจดำเข้าบังเบ้อเร่อว่าไปทำไมมี ที่มากันคราวนี้ ไม่ได้มุ่งเจริญภาวนาเอามรรคผลพระนิพพานแต่อย่างใด ไม่ได้คิดจะเป็นพระอรหันต์ แต่อยากจะมาหาเหล็กไหลกายสิทธิ์มากกว่า เพราะเรื่องเหล็กไหลในภูเขาควายเป็นที่เลื่องลือกันมาทุกยุคทุกสมัย ว่ามีเหล็กไหลอยู่ตามถ้ำน้อยใหญ่นับร้อย ๆ ถ้ำ ผู้มีวาสนาบารมีสูงและมีวิชาอาคมแก่กล้า ย่อมสามารถเจรจากับชาวลับแลหรือเจ้าถ้ำ เจ้าเขา “ขอเอา” เหล็กไหลได้เสมอ แต่ตัววาสนาบารมีน้อย บุญไม่ถึงและวิชาอาคาไม่เอาไหน ก็มีหวังถูกชาวลับแลหรือพวกเทพที่เป็นยักษ์บริวารของท้าวเวสสุวัณฆ่าตายหมด
    ( เหล็กไหลที่พระอาจารย์ทั้ง 5 จะไปดูหรือตัดนี้เป็นเหล็กไหลโกฏิปี ซึ่งเป็นเหล็กไหลที่มีฤทธิ์และอำนาจมากที่สุด คนทั่วไปไม่สามารถตัดได้ง่าย ๆ และถ้ำที่จะมีเหล็กไหลนั้นต้องเป็นถ้ำที่สะอาด เหล็กไหลไม่ชอบสกปรก ถ้ำที่มีค้างคาวอยู่จะไม่มีเหล็กไหลเพราะมีขี้ค้างคาว และภายในถ้ำจะต้องมีสระเล็ก ๆ อยู่ด้วย ขอแทรกข้อมูลโดยผู้เขียน กฤษฎา)
     พระอาจารย์สมบูรณ์ วัดบ้านคุยเชือก อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคามได้ตอบว่า มีความสนใจเรื่องเหล็กไหลอยู่บ้าง ไม่ทราบว่าโยมทั้งสองรู้เรื่องเหล็กไหลในภูเขาควายเป็นประการใด
     นายน้อยได้กล่าวยืนยันว่า เหล็กไหลในภูเขาควายมีจริง ฝ่ายนายตาก็ยืนยันบ้างว่า มีคนหลายคนได้ไปเห็นเหล็กไหลในภูเขาควายมาแล้วแต่ไม่มีใครเอาได้ ส่วนมากถูกอภินิหารของเหล็กไหลฆ่าตาย ส่วนผู้ที่ไม่ตายก็เสียสติวิปลาสคางเหลืองทีเดียว เป็นเรื่องน่าสะพรึงกลัวมากเพราะเหล็กไหลมีอันตรายอย่างลึกลับมหัศจรรย์
     “เหล็กไหลที่ว่านั้นอยู่ที่ไหน?” พระอาจารย์สมบูรณ์ถามเลียบเคียงดู นายน้อยตอบว่า “อยู่ในถ้ำสระบัว ถ้ำนี้อยู่ในภูเขาควาย ต้องเดินบุกป่าฝ่าดงขึ้นเขาไปจากหมู่บ้านหัวดง เป็นระยะทางไกลประมาณ 10 กิโลเมตร”

ติดตามตอนต่อไป
จากหนังสือเหล็กไหลธาตุกายสิทธิ์โดยทีมงานเฉพาะกิจ
วิทยา ประทุมธารารัตน์ บรรณาธิการ

วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

เหล็กไหลในลาว(ตอนที่2)


 
ทุ่งไหหินในประเทศลาวจากผู้จัดการออนไลน์
    
พักฟื้นเอาแรงอยู่เวียงจันทน์ระยะหนึ่ง เมื่อมีกำลังวังชาพอสมควรแล้ว ก็เดินธุดงค์ไปทางหลวงพระบาง ไปทุ่งไหหิน เชียงขวาง พงสาลี เดินไปเดินมาถึงบ้านหัวดงหรือบ้านดงน้อย อยู่เชิงภูเขาควายอีกด้านหนึ่ง ภูเขาควายนั้นเป็นเทือกเขาใหญ่มากเชื่อมโยงกับป่าทึบเทือกเขาอื่น ๆ จนดูเป็นพืดเดียวกัน
     บ้านหัวดงหรือบ้านดงน้อยนั้นตั้งอยู่เชิงขุนเขาใหญ่ภูเขาควายอันมีชื่อเสียงเลื่องลือในความลึกลับอาถรรพณ์ร้ายกาจ เป็นหมู่บ้านพวกลาวเทิง คำว่า “เทิง” หมายถึงที่สูง ๆ ลาวเทิงก็คือพวกลาวที่ชอบตั้งบ้านเรือนอยู่ในที่สูง ๆ ตามภูตามดอยมีอาชีพทำไร่ฝิ่นบ้าง ล่าสัตว์บ้าง หาของป่าตัวยาสมุนไพรขายบ้าง เป็นต้นว่า หาไม้งิ้วดำ หาไม้กฤษณา หาไม้จันทน์แดง และที่ปลูกข้าวไร่ปลูกพริกมะเขือก็มีเยอะ
     หัวหน้าหมู่บ้านชื่อนายน้อยและนายตา มีอาวุโสกว่าใครในหมู่บ้าน ซึ่งมีกันเพียง 6-7 หลังคาเรือนเท่านั้น เมื่อเห็นพระธุดงค์มากางกรดอยู่ใกล้ ๆ หมู่บ้านเชิงเขา ก็มานมัสการถวายน้ำร้อนน้ำชาและน้ำอ้อยงบตามธรรมเนียม ได้ซักถามถึงการไปการมาธุดงค์ พระอาจารย์ทั้ง 5 ก็ได้ชี้แจงให้ทราบว่า พากันแสวงวิเวกมาจากภาคอีสานบ้านเฮาโน้นแหละ พี่น้องญาติโยมเอ๋ย ที่มาเยือนถึงถิ่นภูเขาควาย  ก็อยากจะหาทำเลที่สงบเจริญภาวนาบำเพ็ญความเพียรสร้างบารมี
     ฝ่ายหนานทั้งสองคือนายน้อยนายตานั้นก็ยิ้มอยู่ในสีหน้าชอบกลอยู่ได้เปรย ๆ ขึ้นว่า ภูเขาควายนี้เป็นดินแดนศักดิ์ศิทธิ์อาถรรพณ์ มีพระธุดงค์มาจำศีลภาวนาอยู่เสมอมิได้ขาด ปีแล้วปีเล่าจนชาวบ้านป่าเห็นเป็นเรื่องธรรมดา แต่ส่วนใหญ่พระธุดงค์เหล่านั้นพากันมาแสวงหาเหล็กไหลกายสิทธิ์ในภูเขาควาย แล้วหนานทั้งสองก็ยกมือไหว้ถามตรง ๆ ว่า “ท่านอาจารย์ที่มาแสวงวิเวกกันเที่ยวนี้ ไม่สนใจเหล็กไหลบ้างหรือขะน่อย” (ขะน่อย แปลว่า ขอรับ)

ติดตามตอนต่อไป
จากหนังสือเหล็กไหลธาตุกายสิทธิ์โดยทีมงานเฉพาะกิจ
วิทยา ประทุมธารารัตน์ บรรณาธิการ

วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

เหล็กไหลในลาว


  
ภูเขาควายจากเว็บ deepsnews.com
  
เหล็กไหลในลาว นักเขียนผู้ใช้นามปากกาว่า “ไตรทิพย์” ได้เขียนเล่าถึงการไปตัดเหล็กไหลในถ้ำสระบัว ภูเขาควาย ประเทศลาวในปี พ.ศ. 2480 (82 ปีมาแล้ว ตอนนั้นลาวยังไม่ได้เปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นประเทศสาธารณะรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ) ของพระอาจารย์ 5 รูป โดยคำบอกเล่าของ “หลวงปู่จันดี เกสาโว” ซึ่งในเวลานั้นท่านเป็นสามเณรและได้ร่วมเดินทางไปด้วย
     “ไตรทิพย์” เขียนไว้ในนิตยสาร “โลกทิพย์” เพื่อเป็นวิทยาทาน ขออนุญาตนำข้อเขียนบางตอนของ “ไตรทิพย์” มาเสนอไว้อีกครั้งหนึ่ง “
     ...ต่อมาสามเณรจันดีจึงมีโอกาสได้ติดตามพระอาจารย์ 5 รูปเดินธุดงค์ไปยังภูเขาควาย ประเทศลาว
     พระอาจารย์ 5 รูปนั้นได้แก่
     พระอาจารย์วันนา (วรรณา) อยู่วัดบ้านเลิง อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม
     พระอาจารย์สมบูรณ์ วัดบ้านคุยเชือก อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม
     พระอาจารย์โพธิ์ วัดบ้านดอน อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม
     พระอาจารย์สิงห์ วัดบ้านเกาะ อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม
     พระอาจารย์แก้ว วัดบ้านไผ่ใหญ่ อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี
     พระอาจารย์ทั้ง 5 รูปนี้มีความเคารพนับถือกันมาก มีพรรษา 15-16 พรรษาแล้วทั้งนั้น แต่ละรูปมีความรู้ทางพุทธธรรมและทางไสยศาสตร์เป็นอย่างดี รวมทั้งเรื่องยาสมุนไพรและแพทย์แผนโบราณตามแบบฉบับพระธุดงค์สมัยโบราณที่ต้องเก่งกล้าในทางนี้ เพื่อสงเคราะห์ประชาชนชนบทที่ยากไร้ห่างไกลความเจริญ
     สามเณรจันดีได้ออกติดตามพระอาจารย์ทั้ง 5 จากวัดบ้านไผ่ใหญ่ อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี มุ่งหน้าไปทางฝั่งโขง จุดมุ่งหมายสำคัญในการธุดงค์ครั้งนี้ นอกจากเรื่องแสวงหาวิเวกแล้ว ยังต้องการหาเหล็กไหลด้วย การเดินธุดงค์เป็นไปด้วยความลำบาก ผ่านไปยังบ้านนาแห้วฝั่งลาว แล้วไปยังพระบาทโพนสัน วกไปวกมาตามภูมิประเทศที่เป็นป่าเป็นเขาทุรกันดาร จนกระทั่งถึงนครเวียงจันทน์

ติดตามตอนต่อไป
จากหนังสือเหล็กไหลธาตุกายสิทธิ์โดยทีมงานเฉพาะกิจ
วิทยา ประทุมธารารัตน์ บรรณาธิการ

พญาครุฑ

ครุฑ (สันสกฤต: गरुड) เป็นสัตว์ในนิยายในประมวลเรื่องปรัมปราฮินดูและปรากฏในวรรณคดีสำคัญหลายเรื่อง เช่น มหาภารตะ เล่าว่า ครุฑเป็นพี่น้องกับนาคแ...