ต่อมาวันรุ่งขึ้น ซึ่งตรงกับวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 ปี พ.ศ.2481
หรือประมาณ 81 ปีมาแล้ว (“ไตรทิพย์” บันทึกไว้เมื่อ พ.ศ.2535) พระอาจารย์ทั้ง 5
ได้เตรียมการที่จะขึ้นไปยังภูเขาควายอีก หลังจากฉันเพลแล้วจึงได้ออกเดินทางตามฤกษ์
โดยมีสามเณรจันดีติดตามไปด้วยอีก เมื่อขึ้นไปถึงถ้ำสระบัวก็พบว่า
การเผาข้าวหลามเมื่อวันวานนี้ทำให้ถ้ำสกปรกมาก เพราะขี้เถ้าเขม่าควันกระจัดกระจาย
พระอาจารย์วันนาจึงสั่งให้สามเณรจันดีที่จะเผาข้าวหลามอีก
ให้เอาข้าวหลามไปเผาที่ข้างนอกถ้ำ
![]() |
เหล็กไหลสีท้องปลาไหลจากเว็บพันทิพ |
เหตุที่จะเผาข้าวหลามอีกในตอนบ่าย ไม่ใช่เพราะอยากจะฉันข้าวเย็นแต่ประการใด
หากเตรียมเผาข้าวหลามเอาไว้ขบฉันในตอนเช้า เพราะได้กำหนดไว้ว่า
คืนนี้จะนอนค้างในถ้ำ การเตรียมอาหารบิณฑบาตไว้ล่วงหน้าย่อมเป็นความรอบคอบไม่ประมาท
หากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นในคืนนั้นหรือในวันรุ่งขึ้น
ก็จะได้ไม่กังวลเรื่องอาหารขบฉัน
เพราะได้หลามข้าวเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วหลายกระบอกนั่นเอง
เห็นจะเป็นด้วยปุพวาสนาในทางธรรมของสามเณรจันดี
ที่จะเป็นผู้มีวาสนาบารมีก้าวหน้าในทางธรรมไปอีกไกลในอนาคต
ดวงชะตายังไม่ถึงคราวขาดถึงฆาต และมีเทวดาอุ้มชูรักษา
จึงบันดาลให้อาจารย์วันนาสั่งให้ออกจากถ้ำไปทำการเผาจี่ข้าวหลามที่ข้างนอกถ้ำ
ความจริงสามเณรจันดีอยากจะอยู่ในถ้ำ ดูพิธีกรรมตัดเหล็กไหลให้เห็นจะ ๆ กับตา
เมื่อถูกให้ไล่ออกมาจากถ้ำมาหลามข้าวหลาม จึงรู้สึกผิดหวังเสียใจอยู่ไม่น้อย
เพราะไม่ได้ดูชมการตัดเหล็กไหล
สามเณรจันดีเที่ยวเก็บไม้ฟืนแถว ๆ ข้างนอกถ้ำมาก่อไฟขึ้นเผาข้าวหลาม
ส่วนหูนั้นก็คอยสดับตรับฟังเสียงพระอาจารย์ทั้ง 5 สวดมนต์ดังกระหึ่มลอดออกมาจากข้างในถ้ำอยู่ตลอดเวลา
ก็พอจะเดาออกว่าข้างในถ้ำกำลังทำพิธีกรรมตัดเหล็กไหลอย่างไร
เพราะได้ฟังแผนการตัดเหล็กไหลมาแล้ว ตอนที่พระอาจารย์ทั้ง 5
ปรึกษาวางแผนกันตอนอยู่ที่บ้านหัวดง ตามแผนมีอยู่ว่า
ติดตามตอนต่อไป
จากหนังสือเหล็กไหลธาตุกายสิทธิ์โดยทีมงานเฉพาะกิจ
วิทยา ประทุมธารารัตน์
บรรณาธิการ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น