เสร็จจากฉันเพลแล้ว พระอาจารย์ทั้ง 5 รวมทั้งสามเณรจันดีด้วย
ก็ได้ร่วมกันสวด ยถาสัพพีฯ สวดคาถาชยันโตฯ สดุดี เทวดาตามธรรมเนียม
จากนั้นพระอาจารย์วันนาก็ได้รดน้ำผึ้งเทใส่ถ้วยที่เตรียมมา มือซ้ายถือถ้วยน้ำผึ้ง
ส่วนมือขวาถือเทียนชัยที่จุดไฟแล้ว เอาเทียนชัยไปลนตรงปุ่มเหล็กไหลสีดำมะเมื่อมที่เกาะอยู่ตรงผนังถ้ำ
พร้อมกับท่องคาถาอัญเชิญเหล็กไหลตามตำรา
ทันใดก็เกิดปฏิกิริยาเคลื่อนไหวที่ปุ่มเหล็กไหลนั้น
คล้ายจะเยิ้มแยกขยายออก ลักษณะเป็นรูปร่างเหมือนหัวงู เป็นสีเขียว แดง ดำ
อ้าปากกว้างเหมือนจะขู่ ทำให้พระทุกองค์ผงะตกตลึงไปตาม ๆ กัน
อาจารย์วันนาจึงถือเทียนชัยออกมาจากปุ่มเหล็กไหล ภาพหัวงูก็หดกลับเข้าที่เดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ดูคล้ายภาพมายาหรือภาพหลอกลวงตาน่าพิศวง แต่เพื่อความแน่ใจ
อาจารย์วันนาได้ทดลองดูอีก โดยใช้เทียนลนดูอีกถึง 2-3 ครั้ง
เหล็กไหลนั้นก็แสดงปฏิกิริยาเยิ้มออกมาแปรสภาพเป็นหัวงู
แยกเขี้ยวขู่คุกคามทุกครั้ง
อาจารย์สมบูรณ์เริ่มใจกล้าเอาไม้แหย่ดู
ก็ไม่เห็นเหล็กไหลกระดุกกระดิกแต่อย่างใด
จึงเอาผ้าอาบน้ำฝนมาพับเข้ากับมือแล้วเอื้อมไปจับคลำดูที่ปุ่มเหล็กไหล ปรากฏว่าเหล็กไหลเย็นเหมือนน้ำแข็ง
ความเย็นนั้นแล่นปราดถึงขั้วหัวใจเลยทีเดียว อาจารย์องค์อื่นเห็นเช่นนั้นก็ใจกล้า
ขอทดลองเอามือจับดูบ้าง ก็มีความสุขตรงกันว่า
เหล็กไหลเย็นเยือกเข้าถึงขั้วหัวใจน่าประหลาด
เนื่องจากเทียนชัยที่ทำยังอ่อนตัวไม่แข็งดี
จึงไม่สามารถจะทำพิธีกรรมตัดเอาเหล็กไหลได้ในวันนั้นจะต้องทิ้งให้เทียนชัยแข็งตัวสักคืนเสียก่อน
จึงพากันออกจากถ้ากลับมายังบ้านหัวดงหรือดงน้อย
ทำให้ชาวบ้านแปลกใจมากที่คณะพระธุดงค์ไม่ได้รับอันตราย
เหตุที่ยังไม่ได้รับอันตรายก็เพราะว่า กรรมในการกระทำยังไม่เดินไปจนครบวงจรนั่นเอง
เทวดาเจ้าป่าเจ้าเขา จึงยังไม่ลงมือจัดการลงโทษขั้นเด็ดขาด
รอจังหวะอยู่อย่างใจเย็น เปรียบประดุจพยัคฆ์ร้ายในป่ารอจ้องตะครุบเหยื่อ
ติดตามตอนต่อไป
จากหนังสือเหล็กไหลธาตุกายสิทธิ์โดยทีมงานเฉพาะกิจ
วิทยา ประทุมธารารัตน์
บรรณาธิการ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น