วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2563

เสาเอกกุฏิสมเด็จโต

พระสมเด็จเนื้อไม้เสาเอก

      
     สิ่งที่ถือเป็นอนุสรณ์นับเนื่องในสมเด็จพระพุฒาจารย์โต ที่หลงเหลือให้เห็นในปัจจุบันนี้นอกเหนือจากพระสมเด็จอันลือลั่นแล้วยังมีของสำคัญอีกชิ้นหนึ่งนั่นคือ ไม้เสาเอกกุฏิของท่าน
     ขณะนี้หลงเหลือเป็นท่อนสั้น ๆ ทางวัดระฆังโฆสิตารามเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี เอาใส่กรงเหล็กขนาดกว่าสี่หุน ถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์ชิ้นหนึ่ง เพราะเสาเอกนี้ได้ค้ำยันกุฏิของท่าน และท่านก็ย่างเหยียบเข้าออกทุกวัน
     เมื่อหลายปีก่อนโน้นว่ากันว่ายังมีเค้ากุฏิของท่านเหลือให้เห็นครั้นกาลเวลาผ่านไป ก็ค่อย ๆ ปรักหักพังคงเหลือแต่เสากุฏิที่จมอยู่ในดินเพียงเท่านั้น ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2512 หลวงปู่หิน อินทวินโย พระเถระเชี่ยวชาญวิทยาคมและธรรมวิปัสสนาแห่งวัดระฆังท่านให้ลูกศิษย์ลูกหาช่วยกันขุดขึ้นมา

เสาเอกกุฏิสมเด็จโต

     เนื้อไม้แข็งมากประดุจหินใช้เลื่อยวงเดือนตัดยังมีประกายไฟ และไม้เสากุฏิสมเด็จโตนี้แหละครับหลวงปูหินเอาสร้างพระสมเด็จพิมพ์หนึ่งมีชื่อเรียกว่า “สมเด็จทรงนิยมเสาเอก”
     การสร้างค่อนข้างพิลึกพิลั่นและต้องใช้ความอุตสาหะวิริยะเป็นอย่างมาก แม่พิมพ์ใช้โลหะเนื้อแข็งแกะเป็นรูปพระสมเด็จ เสร็จแล้วเอามาเผาไฟจนร้อนแดงนำไปประทับบนเนื้อไม้ที่ตัดแบ่งเป็นชิ้นฟัก
     ความร้อนจะไหม้เนื้อบางส่วนเป็นถ่าน เมื่อทำการเซาะส่วนที่ถูกเผาไหม้นั้นออก ก็จะปรากฏเป็นรูปพระสมเด็จ ที่ขอบด้านบนจะเจาะเป็นรูบรรจุผงวิเศษต่าง ๆ เป็นเพราะการแบ่งเป็นชิ้นฟักของเนื้อไม้แต่ละชิ้นนั้นตัดด้วยมือและประมาณเอา ขนาดจึงไม่เท่ากันทุกชิ้น
     เมื่อพิมพ์พระออกมาแล้วพระจึงมีขนาดใหญ่ไม่เท่ากันนัก ใหญ่บ้างเล็กบ้างแตกต่างกันเล็กน้อยกระนั้นจุดที่ตายตัวอย่างซุ้มระฆังพอวัดได้ ซุ้มเรือนแก้วด้านล่างกว้างสองเซนติเมตร ความสูงของซุ้มเรือนแก้วสามเซนติเมตร
     ขอบด้านข้างและด้านหลังปรากฏรอยฟันเลื่อยชัดเจน เฉพาะอย่างยิ่งด้านหลังนั้นจะเห็นชัดเป็นเส้นแพฟันเลื่อย สีเนื้อไม้ของพระออกแดงอมดำคร่ำ เนื้อแน่นทึบมีน้ำหนักพอควร ด้านหลังพระตอกหมายเลขทุกองค์ เป็นเลขอารบิก หรือเลขฝรั่งตังบางคมขนาดเขื่อง พระเถระในวัดระฆังที่ทราบเรื่องการสร้างดี ได้เมตตาบอกว่า หมายเลขที่ตอกมีตั้งแต่หนึ่งเรื่อยมาจนถึงห้าร้อย

เรื่องและภาพจากหนังสือสมเด็จวัดระฆังพิเศษ11 สุดยอดพระเครื่องตลอดกาลจากเซียนพระสุดสัปดาห์ ขอขอบคุณมา ณ. ที่นี้

วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2563

เบี้ยเดินได้เหมือนมีวิญญาณ


  
ภาพพระอริยะเจ้าหลวงปู่เพิ่มวัดกลางบางแก้ว จากวิกิพีเดีย
     วิชาที่หลวงปู่เพิ่มได้รับการถ่ายทอดมาจากหลวงปู่บุญก็คือวิชาเบี้ยแก้ ซึ่งหลวงปู่เพิ่มได้ใช้วิชานี้ทำเบี้ยแก้ให้สาธุชนได้นำไปติดตัวอย่างได้ผลดีมามากต่อมาก ซึ่งการปลุกเสกเบี้ยแก้นั้นจะต้องปลุกเสกให้เบี้ยเดินหรือเคลื่อนไหวไปมาได้อย่างจริงจังจึงจะนับว่าใช้ได้เรื่องเบี้ยเดินได้นี้คุณสุธน ศรีหิรัญได้เขียนว่า
     “คืนนั้นผมตั้งใจว่าจะขึ้นไปนมัสการท่านเพื่อเรียนถามเรื่องเก่า ๆ สมัยที่ท่านอยู่กับหลวงปู่บุญเพื่อเอาไว้เป็นข้อมูลเขียนประวัติของหลวงปู่บุญต่อไป วันนั้นปลอดคนประตูกุฏิของหลวงปู่เปิดไว้ เมื่อผมเดินเข้าไปก็เห็นท่านนั่งสมาธิอยู่หน้าถาดที่มีเบี้ยแก้วางอยู่สิบกว่าตัวผมไม่ต้องการจะกวนท่าน เพราะท่านกำลังบริกรรมปลุกเสกเบี้ยแก้อยู่นั่นเอง
     ผมค่อย ๆ ย่องผ่านหน้ากุฏิไปแต่แล้วก็ต้องตัดสินใจหันมามองจุดที่เกิดเสียงกร็อกแกร็ก ๆ ถาดที่วางอยู่ตรงหน้าหลวงปู่นั่นเอง เสียงนั้นดังมาจากเบี้ยแก้หุ้มตะกั่วแล้วนั่นเอง เบี้ยเหล่านั้นโคลงตัวไปมาซ้ายทีขวาทีเหมือนมีวิญญาณ ตัวที่อยู่ใกล้ขอบถาดก็เขยิบตัวปีนขอบถาดตกลงมาอยู่ที่พื้นแล้วก็โคลงตัวไปมาเหมือนเบี้ยเหล่านั้นมีชีวิต
     พอหลวงปู่หยุดบริกรรมเบี้ยนั้นก็เงียบ หลวงปู่ลืมตาขึ้นเก็บเบี้ยแก้ที่ตกอยู่นอกถาดใส่ถาดไว้ แสดงให้เห็นว่าอำนาจจิตของหลวงปู่เพิ่มนั้นยอดเยี่ยมนัก”
     ผู้ที่สนใจเบี้ยแก้ลองไปดูที่หนังสือ อ.ตี๋เหล้าท่าพระจันทร์ทำไว้เรื่องเครื่องราง ผมว่าเขาเป็นตัวจริงคนหนึ่งด้านเครื่องรางนะจากการดูหนังสือเล่มนี้ ภาพในเน็ตหาตัวจริงยากมากครับของเก๊เกลื่อน (ผมไม่ได้ค่าโฆษณานะ กฤษฎาเขียนส่วนนี้)
จากหนังสือฤทธิ์อภิญญาจิตเกจิอาจารย์ โดยประเจียด คงศาสตรา

วันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2563

น้ำมนต์หลังคาโบสถ์


   
ภาพพระอริยะเจ้าหลวงพ่อทับวัดทอง จากมติชน
     เสียงเจ๊กเพียวคนอยู่ข้างวัดทองร้องถามหาหลวงพ่อทัพดังลั่น
     “อาเณงเอ๊ยอาหลงโพ่อยู่หมายอั๊วมาหาจะมาเอาน้ำมง”   
     ลูกชายของแกป่วยกินข้าวไม่ได้มาหลายวัน ต้มยาจีนหมดไปหลายเทียบก็ไม่มีผล แกนึกขึ้นได้ว่าหลวงพ่อทัพเป็นหมอยาและอาคมกล้าจะได้ขอน้ำมนต์ไปให้ลูกชายกินจะได้หายจากโรค
     “อยู่ที่โบสถ์โน่นแนะกำลังมุงหลังคามั้ง เพราะบ่นว่าหลังคารั่ว”
     เจ๊กเพียวหิ้วไหขนาดเล็กที่ภายในมีน้ำฝนติดมือมาที่โบสถ์ ตอนนั้นหลวงพ่อทัพกำลังมุงหลังคาโบสถ์ร่วมกับพระเณรเป็นโกลาหล อาเจ๊กเพียวร้องตะโกนเรียกหลวงพ่อเสียงลั่น
     “อาหลวงพ่อคัก อั๊วมาขอน้ำมง ลูกอั๊วมันไม่สบายอั๊วจะเอาไปให้มันกิน หลวงพ่อทัพได้ยินเข้าก็จึงค่อย ๆ เลื่อนตัวมาที่ริมหลังคาโบสถ์แล้วร้องบอกเจ๊กเพียวว่า
     “เองเปิดปากไหข้าจะทำน้ำมนต์ให้”
     หลวงพ่อทัพจ้องดูปากไหน้ำมนต์สักครู่ก็เป่าลมปราณลงมาปากก็ร้องบอกว่าเพี้ยงดีแล้วเอาไปได้ ข้ากำลังยุ่ง เจ๊กเพียวละไปจากโบสถ์ด้วยความขุ่นมัว มีอย่างที่ไหนขอน้ำมนต์เพียงชะโงกหน้ามามองเป่าเพียงชะโงกหน้ามามองเป่าเพี้ยงแล้วบอกว่าเสร็จ มันแกล้งกันชัด ๆ ไม่ลำบากจริงไม่มาหรอกวะหนอยแน่ขี้เกียจฉิกหายกูไม่นับถือแล้ว ว่าแล้วเจ๊กเพียวก็ยกไหน้ำมนต์ทุ่มลงบนถนนอย่างโกธรแค้น
     “เป๊ง คลุก ๆ”
     ไหไม่แตกยังไม่หายแค้นเปิดฝาไหแล้วเทน้ำมนต์ทิ้งน้ำมนต์กลับแข็งเต็มปากไห ไม่หยดลงมาสักหยด เขย่าจนหน้าแดงน้ำก็ไม่ออกมา เสียงเจ๊กเพียวร้องเอะอะกลับมาที่โบสถ์
     “กำเสี่ยฮ้อ อาหลงพ่อเอาไหทุ่มไหก็ไม่แตกเอาน้ำมนต์เททิ้งมันก็ไม่ออก เก่งฉิกหายเลย อั๊วยอมเกียเอ๊ยกัว”

จากหนังสือฤทธิ์อภิญญาจิตเกจิอาจารย์ โดยประเจียด คงศาสตรา

อ้ายพวกขอทาน


    
พระอริยะเจ้าหลวงพ่อเขียนวัดถ้ำขุนเณร จากเว็บประมูลพระเครื่อง
    
      หลวงพ่อเขียนท่านฝากเงินของวัดไว้ที่มัคทายกวัด เมื่อท่านก่อสร้างเสนาสนะแล้วก็เบิกเงินจากมัคทายก เพื่อจะไปให้ค่าวัสดุ แต่มัคทายกได้เอาเงินนั้นไปให้เขากู้จนหมดและยังมาปฏิเสธหลวงพ่อว่าไม่ได้เก็บเงิน เพราะหลวงพ่อไม่เคยฝากเงินไว้เลย หลวงพ่อเขียนจึงถามอีกครั้งหนึ่งว่า
      “ข้าฝากเงินไว้หรือเปล่าถ้าเปล่าก็ให้ยืนยันมา”
     “ไม่ได้ฝากเป็นพระเป็นเจ้าเที่ยวได้เอาความไม่ดีมาให้ชาวบ้านมันจะใช้ได้อย่างไรกัน”
     “เออ เอาละ ใครก็ตามมันยักยอกเงินสร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ มันไม่เคยได้ดีมันมีแต่คลานขี้จมเยี่ยว จะมาลอยจอยมะลึงต้องขอทานเขากินจนสิ้นชาติคน”
     “เออกูจะคอยดูว่าเมื่อใดกูจะขอทาน”
     เพียงหกเดือนต่อมาคนทั้งบ้านก็เกิดป่วยเป็นโรคริดสีดวงตารักษาจนหมดเงินก็ไม่หายในที่สุดตาก็บอด หลานที่ออกมาก็ตาบอดข้างหนึ่งคนทั้งบ้านตาบอดคลานขี้คลานเยี่ยวอย่างน่าสงสาร เงินก็หมด บ้านก็ต้องขายที่สุดก็ชวนกันออกขอทาน ก็ถูกรถชนตายหมดไม่มีเหลืออยู่ที่วังตะกูแม้แต่คนเดียวเรียกว่าฉิบหายทันตาเห็นเหมือนที่หลวงพ่อแช่งจริง ๆ
    
จากหนังสือฤทธิ์อภิญญาจิตเกจิอาจารย์ โดยประเจียด คงศาสตรา

วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2563

นางมาผู้ถึงกรรม


   
ภาพหลวงพ่อเขียน ธัมมรักขิโต จากข่าวสด
   
     เสียงเล็กแหลมของผู้หญิงดังขึ้นที่หน้ากุฏิหลวงพ่อเขียนที่วัดวังตะกู อ.บางมูลนาค พระในวัดโผล่หน้ามาดูกันสลอน
     “มีอย่างที่ไหนกันวะ เลี้ยงม้าไว้แล้วไม่ดูไม่แลให้มันเที่ยวได้ไปกินพืชผลของชาวบ้านเขาปลูกกันแทบตายโหงตาห่า ถือว่าเป็นพระไม่มีใครกล้าด่าหรือวะ กูนี่แหละเฮ้ยอีมา ทั้งวังตะกูเขากลัวปากกูทั้งนั้น”
     ครับอ้ายเขียวยักษ์ เป็นม้าที่หลวงพ่อต้องจำใจเลี้ยงไว้ เพราะญาติโยมเอามาถวายให้ท่านได้เลี้ยงด้วยความศรัทธา มันเคยพยศกัดหลวงพ่อลองดีหลายเขี้ยว แต่ทำอะไรไม่ได้หลวงพ่อจึงต้องลงอักขระที่กีบเท้ามันป้องกันคนทำร้ายและมันก็ถูกยิงจนขนหลุดเป็นแปลงโดยฝีมือ มรรคทายกนวม สามีของนางมาที่มายืนด่าหลวงพ่อเขียนปาว ๆ อยู่นั่นเอง
     หลวงพ่อเขียนทนอยู่นานจนออกมาร้องบอกนางมาว่า
     “พอทีเถอะยายมาแกด่าฉันมาจนเกินคุ้มข้าวของแกแล้วถ้าไม่หยุดปากเน่า”
     “หนอยอย่ามาพูดดีเลยวะ ปากกูกินเกลือกินปลาร้ามันจะเน่าอย่างไรให้มันรู้ไปด่าให้มันสะใจอย่างนี้แหละวะ”
     อีกไม่กี่วันนางมาก็กินแกงร้อน ๆ แล้วลวกปากพองกลายเป็นแผลเน่า ลุกขึ้นไปไหนมาไหนไม่ได้ปากเน่าเหม็น แม้แต่ลูกผัวก็ไม่กล้าเข้ามาใกล้ เพราะเพียงแต่ได้กลิ่นปากก็แทบจะอาเจียน
     มีคนไปบอกหลวงพ่อเขียนท่านหน้าสลดแล้วบอกว่ากูแช่งมันไปเอง มันไม่เคยเห็นแก่ผ้าเหลืองของกู หลวงพ่อให้ไปบอกนางมาให้เอาดอกไม้ธูปเทียนมาขมากรรมกับหลวงพ่อ นางมาได้ให้ญาติพยุงกันมาขอขมาแทบบาทหลวงพ่อ จากนั้นแผลก็หายวันหายคืน

จากหนังสือฤทธิ์อภิญญาจิตเกจิอาจารย์ โดยประเจียด คงศาสตรา

วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2563

ปีศาจแห่งภูเขาควาย (ตอนจบ)


    
ภาพหลวงปู่ตื้อ อลจธัมโม จากโอเคเนชั่น
 
     ไก่ป่าส่งเสียงขันแว่วมาจากปากถ้ำ นกกาเริ่มออกหากิน พระธุดงค์สองรูปพากันเดินลงจากถ้ำเชิงภูเขาควาย
     “เมื่อคืนนี้ท่านแหวนมีสมาธิดีเหลือเกิน” เสียงพระอาจารย์ตื้อเอ่ยขึ้นขณะที่ไต่ถ้ำลงมา
     “ท่านตื้อดีกว่าผมสียอีกไม่พูดไม่จาอะไร ผมต้องเอ่ยถามเพราะนึกว่าท่านหลับตาภาวนาเพลินไปเสียแล้ว”
     “ธรรมะบทนั้นของท่านแหวนช่วยส่งวิญญาณของเขาไปเกิดได้ คงจะเป็นสิ่งนี้แหละที่ชาวบ้านกลัวกันนักกันหนา”
     “ตัวอะไร” ท่านแหวนเอ่ยถามเพราะอยู่ในถ้ำลึกกว่า
     โขมดไพรที่แก่กล้าจำแลงกายได้ คงเป็นวิญญาณของชาวป่าที่ตายไปสิงอยู่”
     เมื่อพระภิกษุทั้งสองมาถึงหมู่บ้าน ชาวบ้านพากันถามเซ็งแซ่ถึงเหตุการณ์บนภูเขาควาย พระอาจารย์ตื้อก็เล่าความจริงให้ฟัง
     “เขาไม่ทำอันตรายหรอก ขอให้ทุกคนตั้งหน้าตั้งตาประพฤติธรรม ทำมาหากินด้วยความสุจริต ธรรมะย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม ต่อไปวิญญาณของโขมดไพรก็จะไม่มากล้ำกรายปรากฏให้เห็น เพราะเขาไปผุดไปเกิดแล้ว”
     ชาวบ้านได้ยินดังนั้นก็ก้มลงกราบ และร่ำลือกันไปว่าวิญญาณของโขมดไพรนั้นได้ถูกพระสองรูปจับเอาไปแล้ว จึงไม่มีใครหวาดกลัวต่อโขมดไพรตัวนั้นอีก นับว่าอาจารย์ตื้อและหลวงปู่แหวนได้ช่วยปัดเป่าความกลัวออกจากหัวใจของชาวบ้านภูเขาควายไปได้

จากหนังสือประวัติอภินิหารพระเครื่อง หลวงปู่แหวนสุจิณโณ

ปีศาจแห่งภูเขาควาย (ตอน 2)


   
หลวงปู่แหวนสุจิณโณจากธรรมะไทย
 
     เสียงดังตุ๊บ...เงาดำทะมึนปรากฏขึ้นที่ปากถ้ำ เงาดำทะมึนนั้นปรากฏสูงใหญ่เคลื่อนไหวได้ ท่านลืมตามองดูด้วยความสนใจว่าสิ่งนั้นคือสัตว์อะไร จากแสงดาวอันเลือนลางลักษณะคล้ายลิงใหญ่ ซึ่งใหญ่กว่าลิงธรรมดาและใหญ่กว่าคนอย่างน้อยหนึ่งเท่าตัว หลวงปู่แหวนก็ลืมตามองดูอยู่เหมือนกันทั้งสองนิ่งเงียบเฝ้ามองดูเงาดำอย่างสนใจ
     มันเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้ากลิ่นสาปสางลอยเข้ามาในถ้ำจนรู้สึกได้ มันเคลื่อนไหวอยู่อย่างนั้นแต่ไม่เข้ามา ฉับพลันก็มีแสงสว่างเขียวปั๊ดสองดวงเคลื่อนไหวไปมาคงจะเป็นลูกตาของสัตว์ประหลาดที่เปล่งออกมาในลักษณะโกธรหรือตกใจ
     เงาดำหยุดนิ่งเพียงแต่ส่งแสงประกายเขียวปั๊ดเข้ามา ต่างฝ่ายต่างมองดูกันด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกันไป อีกฝ่ายหนึ่งอยากรู้แต่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ทราบเจตนา
     “ท่านตื้อ ท่านตื้อ” เสียงของหลวงปู่แหวนดังขึ้นเบา ๆ พระอาจารย์ตื้อรับดังอือ
     “ท่านเห็นแล้ว” หลวงปู่แหวนดังขึ้นอีก
     “เราเห็นแล้ว” พระอาจารย์ตื้อตอบ
     “ทุกข์คืออะไร” หลวงปู่แหวนเอ่ยถาม
     “ชาติปิทุกขา ชราปิทุกขา พยาธิปิทุกขา มรณปิทุกขัง” พระอาจารย์ตื้อตอบตามหลักธรรม ที่ได้รับการสั่งสอนจากพระอาจารย์มั่น เสียงถอนหายใจของหลวงปู่แหวนดังขึ้น
     “เกิด แก่ เจ็บ ตาย ล้วนเป็นทุกข์ วิญญาณนั้นสาหัส ธรรมะเท่านั้นที่จะช่วยให้หลุดพ้นจากการทรมานนั้น ๆ” หลวงปู่แหวนเอ่ยช้า ๆ ชัดถ้อยชัดคำ
     เมื่อจบคำของหลวงปู่แหวน ทั้งสองต่างก็พากันได้ยินเสียงสัตว์ประหลาดกรีดร้องโหยหวน ชวนให้ขนลุกด้วยความสยดสยอง แล้วเงาดำทะมึนนั้นก็หายวับจากไป ป่าก็ระงมไปด้วยเสียงสัตว์กรีดปีกต่อไป

ติดตามตอนต่อไป จากหนังสือประวัติอภินิหารพระเครื่อง หลวงปู่แหวนสุจิณโณ

วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2563

ปีศาจแห่งภูเขาควาย


   
ภูเขาควายภาพจาก soccersuck.com
  
     สูงทะมึนลิบอยู่ข้างหน้าของพระภิกษุสองรูป ซึ่งกำลังเดินธุดงค์แหวกป่าเข้ามาคือ ภูเขาควาย เดิมทีพระภิกษุทั้งสองรูปนี้ไม่ต้องการจะป่ายปีนขึ้นไปสู่ภูเขาที่ทะมึนสูง ทั้งนี้เพราะคำบอกเล่าของชาวป่าว่าบนภูเขาควายนั้น มีภูตผีชาวบ้านไม่กล้าที่จะขึ้นไปหาของป่าและแนะนำท่านทั้งสองว่าไม่ควรจะขึ้นไปเพราะอันตราย
     แต่พระภิกษุทั้งสองต้องการที่จะพิสูจน์ความจริงด้วยตนเอง จึงพากันป่ายปีนขึ้นไปสู่ภูเขาควายแห่งนั้นด้วยความมานะ ต้นไม้ใหญ่ยืนต้นอากาศครึ้มแทบไม่เห็นแสงพระอาทิตย์จะลอดผ่านความหนาทึบของป่าลงมาได้ อากาศก็ชื้นเต็มไปด้วยหนอนแมลงและทาก เกาะจีวรต้องปลดทิ้งอยู่ตลอดทาง
     ไต่ขึ้นไปจนกระทั่งถึงถ้ำแห่งหนึ่ง มีทำเลหลบลมพายุได้ พระอาจารย์ตื้อก็หยุดยั้งอยู่ตรงนั้น หลวงปู่ก็เลือกได้มุมหนึ่งปัดกวาดเสร็จเรียบร้อย ก็พักผ่อนออกมายืนอยู่หน้าผาทอดสายตามองไปรอบ ๆ ไม่เห็นอะไรนอกจากป่าที่มืดทะมึน และเสียงลมที่พัดอื้ออึงเข้ามาหนาวเย็นสะท้าน
     ค่ำนั้นทั้งสององค์ก็นั่งภาวนาหาความวิเวกคนละมุมถ้ำ ด้านนอกเสียงลมพัดอื้ออึงไม่ได้ยินเสียงสัตว์ใด ๆ เงียบสงบนอกจากเสียงลม ทั้งสององค์ไม่พูดไม่จาต่อกัน ต่างฝ่ายนั่งหาความวิเวกเจริญภาวนาต่อไป ความมืดค่อย ๆ โรยตัวลงมาจนกระทั่งดึกสงัด อากาศหนาวเย็น สะท้านแต่พระภิกษุทั้งสองยังนั่งนิ่งเสมือนหนึ่งในถ้ำนั้นปราศจากสิ่งมีชีวิตหลงเหลืออยู่
     แมลงที่ปากถ้ำกรีดปีกส่งเสียงระงม ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งแผ่วมาจากเบื้องล่างเป็นเสียงร้องที่กรีดดังสะท้านป่าโหยหวน ดังแผ่ว ๆ และค่อยดังขึ้น ๆ เสมือนหนึ่งเจ้าของเสียงกำลังเคลื่อนตัวขึ้นมาบนถ้ำ แต่ภายในถ้ำยังคงเงียบสงบอยู่อย่างนั้นไม่มีเสียงใด ๆ
     เสียงโหยหวนนั้นดังใกล้เข้ามา ๆ จวนจะถึงปากถ้ำอยู่แล้ว แมลงที่กรีดเสียงกลับสงบนิ่งป่าทั้งป่าสงบไปด้วยเสียงกรีดร้องนั้นก็พลันเงียบลง แสงอันเลือนลางของแสงดาวสาดเข้ามาจากปากถ้ำ

ติดตามตอนต่อไป จากหนังสือประวัติอภินิหารพระเครื่อง หลวงปู่แหวนสุจิณโณ

วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2563

พระปรกมะขามเฒ่ากับวัดอนงคาราม (ตอนจบ)


     “สมเด็จ” กับ “เสด็จในกรม” ได้ตกลงร่วมกันที่จะประกอบพิธีขึ้นที่วัดอนงคาราม โดยใช้สถานที่ตั้งโรงพิธีทำการพุทธาภิเษก ระหว่างพระอุโบสถกับศาลาการเปรียญ
     โรงพิธีนั้นสร้างเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีราชวัติฉัตรธงทั้ง 4 ทิศ กลางโรงพิธีตั้งเตาสุมทองและหุ่น มีนายช่างรวม 8 คน หัวหน้าชื่อ แจ่ม ช่างหล่อ กับพรรคพวกอีก 7 คน นุ่งขาวห่มขาวแบบตาผ้าขาว หรือชีปะขาว
     ส่วนในพระอุโบสถ ตั้งโต๊ะหมู่บูชาหน้าพระประธาน และตั้งเทียนชัยทางด้านฝาผนังข้างใน ตรงข้ามกับพระประธาน ตั้งโต๊ะสี่เหลี่ยมสำหรับพระสวดภาณวาร 4 รูป รวมพระที่สวดทั้งหมด 12 รูป สวดตลอดสามวันสามคืน โดยผลัดเปลี่ยนกันคราวละรูปไม่ขาดสาย
     กลางพระอุโบสถ มีพระผู้ทรงคุณทางสมถะวิปัสสนา นั่งบริกรรมหนึ่งท่าน คือ พระพรหมมุนีเจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวราราม ซึ่งต่อมาได้รับสถาปนาเป็น สมเด็จพระสังฆราช (แพ)ผู้สร้างพระกริ่งวัดสุทัศน์ฯ อันลือเลื่องที่สุดของพระกริ่งไทย
     รอบนอกของพระอุโบสถในเวลากลางคืนมีพระผู้ทรงคุณวุฒิ นั่งบริกรรม ในกลดทิศละหนึ่งรูป ทั้งแปดทิศ ตลอดสามคืน ในจำนวนนี้มี พระมหาโต๊ะ เปรียญสามประโยค วัดราชบูรณะ กรุงเทพฯ ท่านหนึ่ง นอกนั้นไม่ได้มีการบันทึกไว้
     พระผู้ทรงคุณที่นั่งปรกในพระอุโบสถอีกรูปคือ หลวงพ่อวัดมะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ ชัยนาท
     เมื่อทำพิธีกรรมมาสามวันสามคืนแล้ววันที่สี่เวลาสิบนาฬิกาเช้า พระพรหมมุนีได้มานั่งทำพิธีกลางพระอุโบสถ นั่งบริกรรมอยู่ชั่วโมงเศษ ก็บอกแก่ช่างหล่อว่าได้ฤกษ์เททองได้แล้ว ช่างจึงได้เททองลงในหุ่นครบทุกองค์
     ในขณะนั้นมีพระสงฆ์มาสวดมนต์ในพระอุโบสถประมาณ 61 รูป สวดพระธรรมจักรกัปปวัตนสูตรไปในขณะนั้นด้วย
     สำหรับพระที่สร้าง มีพระพุทธรูปประจำพระองค์เสด็จในกรมหนึ่งองค์ พระประจำหม่อมของเสด็จในกรมหนึ่งองค์ พระประจำพระองค์หม่อมเจ้าเกรียงไกร โอรสของเสด็จในกรมหนึ่งองค์ พระประจำพระองค์หม่อมเจ้าหญิงจงกลนี พระธิดาในกรมหนึ่งองค์ กับได้สร้างพระพุทธรูปเล็กขนาดเท่าปลายนิ้วก้อยอีกหนึ่งร้อยองค์ รวมทั้งพระชัยวัฒน์ ที่เรียกกันในปัจจุบันว่า “พระชัย” ของหม่อมมิตรด้วย ในงานนี้เองก็ได้นำพระปรกใบมะขามเฒ่ามาปลุกเสกด้วย




โดย อ.ศิริวัฒน์ จากหนังสือลานโพธิ์ฉบับที่ 175

วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2563

พระปรกมะขามเฒ่ากับวัดอนงคาราม


   ประวัติการสร้างพระปรกมะขามเฒ่า 

     ในระหว่างปี พ.ศ.2462-2463 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมขุนมรุพงศ์ ศิริพัฒน์ พระราชโอรสในรัชกาลที่ 4 ทรงมีพระราชประสงค์จะสร้างพระพุทธรูปประจำพระองค์ขึ้น จึงเสด็จมาทรงปรึกษากับ สมเด็จพุทธาจารย์ (พุทธสรมหาเถระ นวม) เจ้าอาวาสวัดอนงคาราม ซึ่งเป็นที่ชอบพอไปมาหาสู่กันมาช้านาน ในขณะนั้นท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุทธาจารย์ (นวม) ยังดำรงสมณศักดิ์พระราชาคณะที่ “พระรัชชมงคลมุนี” ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกย่อว่า “สมเด็จ” ส่วนพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมขุนมรุพงศ์ ศิริพัฒน์ จะเรียกย่อ ๆ ว่า “เสด็จในกรม”

พระปรกมะขามเฒ่า 2463

 
พิธีปลุกเสกพระใบมะขามของสมเด็จวัดอนงค์
ติดตามตอนต่อไป โดย อ.ศิริวัฒน์ จากหนังสือลานโพธิ์ฉบับที่ 175

พญาครุฑ

ครุฑ (สันสกฤต: गरुड) เป็นสัตว์ในนิยายในประมวลเรื่องปรัมปราฮินดูและปรากฏในวรรณคดีสำคัญหลายเรื่อง เช่น มหาภารตะ เล่าว่า ครุฑเป็นพี่น้องกับนาคแ...