สูงทะมึนลิบอยู่ข้างหน้าของพระภิกษุสองรูป
ซึ่งกำลังเดินธุดงค์แหวกป่าเข้ามาคือ ภูเขาควาย
เดิมทีพระภิกษุทั้งสองรูปนี้ไม่ต้องการจะป่ายปีนขึ้นไปสู่ภูเขาที่ทะมึนสูง
ทั้งนี้เพราะคำบอกเล่าของชาวป่าว่าบนภูเขาควายนั้น มีภูตผีชาวบ้านไม่กล้าที่จะขึ้นไปหาของป่าและแนะนำท่านทั้งสองว่าไม่ควรจะขึ้นไปเพราะอันตราย
แต่พระภิกษุทั้งสองต้องการที่จะพิสูจน์ความจริงด้วยตนเอง
จึงพากันป่ายปีนขึ้นไปสู่ภูเขาควายแห่งนั้นด้วยความมานะ
ต้นไม้ใหญ่ยืนต้นอากาศครึ้มแทบไม่เห็นแสงพระอาทิตย์จะลอดผ่านความหนาทึบของป่าลงมาได้
อากาศก็ชื้นเต็มไปด้วยหนอนแมลงและทาก เกาะจีวรต้องปลดทิ้งอยู่ตลอดทาง
ไต่ขึ้นไปจนกระทั่งถึงถ้ำแห่งหนึ่ง
มีทำเลหลบลมพายุได้ พระอาจารย์ตื้อก็หยุดยั้งอยู่ตรงนั้น
หลวงปู่ก็เลือกได้มุมหนึ่งปัดกวาดเสร็จเรียบร้อย ก็พักผ่อนออกมายืนอยู่หน้าผาทอดสายตามองไปรอบ
ๆ ไม่เห็นอะไรนอกจากป่าที่มืดทะมึน และเสียงลมที่พัดอื้ออึงเข้ามาหนาวเย็นสะท้าน
ค่ำนั้นทั้งสององค์ก็นั่งภาวนาหาความวิเวกคนละมุมถ้ำ
ด้านนอกเสียงลมพัดอื้ออึงไม่ได้ยินเสียงสัตว์ใด ๆ เงียบสงบนอกจากเสียงลม
ทั้งสององค์ไม่พูดไม่จาต่อกัน ต่างฝ่ายนั่งหาความวิเวกเจริญภาวนาต่อไป ความมืดค่อย
ๆ โรยตัวลงมาจนกระทั่งดึกสงัด อากาศหนาวเย็น
สะท้านแต่พระภิกษุทั้งสองยังนั่งนิ่งเสมือนหนึ่งในถ้ำนั้นปราศจากสิ่งมีชีวิตหลงเหลืออยู่
แมลงที่ปากถ้ำกรีดปีกส่งเสียงระงม
ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งแผ่วมาจากเบื้องล่างเป็นเสียงร้องที่กรีดดังสะท้านป่าโหยหวน
ดังแผ่ว ๆ และค่อยดังขึ้น ๆ เสมือนหนึ่งเจ้าของเสียงกำลังเคลื่อนตัวขึ้นมาบนถ้ำ
แต่ภายในถ้ำยังคงเงียบสงบอยู่อย่างนั้นไม่มีเสียงใด ๆ
เสียงโหยหวนนั้นดังใกล้เข้ามา ๆ
จวนจะถึงปากถ้ำอยู่แล้ว แมลงที่กรีดเสียงกลับสงบนิ่งป่าทั้งป่าสงบไปด้วยเสียงกรีดร้องนั้นก็พลันเงียบลง
แสงอันเลือนลางของแสงดาวสาดเข้ามาจากปากถ้ำ
ติดตามตอนต่อไป
จากหนังสือประวัติอภินิหารพระเครื่อง หลวงปู่แหวนสุจิณโณ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น