วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2563

หมาของพระเจ้ายุธิษเฐียร

มีนิยายเกี่ยวกับหมาเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจอยู่ กษัตริย์วงศ์ปาณฑพ (ปานดบ)พระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระเจ้ายุธิษเฐียร ทรงมีเดชมีอำนาจมาก แผ่พระเดชปกครองไปทั่วชมพูทวีปเป็นเวลา ๓๖ ปี อยู่มาพระเจ้ายุธิษเฐียรปลงพระชนมายุของพระองค์เอง เห็นว่าจะทรงอยู่ต่อไปอีกไม่นาน จึงเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยือนและลาราษฎรทั่วพระราชอาณาจักร มีพระมเหสีและกษัตริย์ผู้เป็นพระอนุชาอีก ๔ พระองค์โดยเสด็จด้วย ครั้นแล้วกษัตริย์ทั้ง ๖ พระองค์ก็เสด็จขึ้นภูเขาหิมาลัยแต่โดยลำพัง ตั้งพระทัยว่าจะไปให้ถึงสวรรค์ ข้าราชบริพารทั้งปวงก็ส่งเสด็จเพียงแค่เชิงเขาหิมาลัย แล้วทูลลากลับพระนคร แต่ยังมีสุนัขตัวหนึ่งที่พระเจ้ายุธิษเฐียรทรงเลี้ยงไว้ สุนัขตัวนี้หาได้กลับไม่ แต่เดินตามพระเจ้ายุธิษเฐียรขึ้นภูเขาหิมาลัยไป เนื่องด้วยทางเดินไปสู่สวรรค์นั้นทุรกันดารนัก พระมเหสีและพระอนุชาอีก ๔ พระองค์ มิสามารถทนความลำบากและเหน็ดเหนื่อยได้ ก็ล้มลงสิ้นพระชนม์ไปทีละองค์จนหมด คงเหลือแต่พระเจ้ายุธิษเฐียรเสด็จพระราชดำเนินต่อไปโดยไม่หยุดยั้ง และมีหมาตามเสด็จตัวหนึ่ง ขณะที่เสด็จพระราชดำเนินอยู่นั้น ปรากฏว่าฟ้าผ่าลงมาเปรี้ยงใหญ่ และพระอินทร์ผู้มีรัศมีอันสว่างก็มาปรากฏต่อพระพักตร์พร้อมด้วยราชรถ แล้วพระอินทร์จึงเชิญเสด็จพระเจ้ายุธิษเฐียรให้ขึ้นรถไปสู่สวรรค์ แต่พระเจ้ายุธิษเฐียรไม่ยอมขึ้นรถพระอินทร์ บอกให้พระอินทร์ไปรับพระมเหสีและพระอนุชามาก่อน พระอินทร์ก็ตอบว่า กษัตริย์เหล่านั้นไปคอยพระองค์อยู่บนสวรรค์แล้ว พระเจ้ายุธิษเฐียรได้ยินพระอินทร์ทูลดังนั้น ก็ทรงกระทำอย่างที่สุภาพบุรุษผู้คบหมาเป็นมิตรจะพึงกระทำคือเปิดประตูรถพระอินทร์แล้วเชิญให้หมาขึ้นรถก่อน พระอินทร์เห็นดังนั้นก็ตกใจ ทูลว่าหมาขึ้นสวรรค์ไม่ได้ เพราะจะทำให้สวรรค์ซวยหมด ขอให้พระองค์ไล่หมากลับเมืองมนุษย์เสียเถิด พระเจ้ายุธิษเฐียรก็ดำรัสตอบอย่างที่ผู้รักหมาจะพึงตอบว่า “ถ้าอย่างนั้นก็จะไม่ขึ้นสวรรค์” พระอินทร์ผู้ซึ่งไม่เคยเลี้ยงหมา เพราะเคยเลี้ยงแต่ช้างก็ถามว่า “ทำไม” พระเจ้ายุธิษเฐียรก็ตอบเป็นคาถาน่าฟังว่า “หมานั้นคือผู้ภักดีอย่างยิ่ง เป็นผู้ซื่อสัตย์ในยามทุกข์ เป็นผู้ให้ความมั่นใจในความสงสัย และเป็นผู้ให้ความรักและมิตรภาพในยามที่เหลือแต่ตัวคนเดียว” พระอินทร์ฟังดังนั้นก็งง ๆ ไป แต่ก็ยังยืนกระต่ายขาเดียวว่า หมาขึ้นสวรรค์ไม่ได้เด็ดขาด พระเจ้ายุธิษเฐียรจึงตอบว่า สวรรค์นั้นอาจเป็นแดนสุขาวดีของคนอื่น แต่สำหรับพระองค์นั้น ถ้าเอาหมาไปด้วยไม่ได้ก็คงปราศจากความสุข เพราะจะต้องทรงเป็นห่วงคิดถึงหมา ครั้นแล้วก็ทรงอบรมจิตใจพระอินทร์ต่อไปอีกยืดยาวว่าพระองค์เป็นกษัตริย์ และเป็นบุรุษชาติอาชาไนย การที่จะละทิ้งผู้ที่รักพระองค์นั้นเป็นบาป พระองค์ไม่เคยละเลยผู้ที่ยึดถือพระองค์เป็นสรณะ หรือผู้ที่ขอรับพระกรุณา หรือผู้ที่อ่อนแอ หรือหมดอำนาจไม่สามารถป้องกันตนเองได้ พระอินทร์โดนเข้าท่านี้ก็จนใจ บ่นตุบ ๆ ตับ ๆ อยู่พักใหญ่แล้วก็ยอมแพ้ ชัยชนะเป็นของพระเจ้ายุธิษเฐียร ผู้ไม่ยอมขึ้นสวรรค์ถ้าหากหมาตามขึ้นไปด้วยไม่ได้ ด้วยฤทธิ์ของพระอินทร์หมาก็กลายเป็นเทพบุตร มีรัศมีอันสว่าง พร้อมที่จะขึ้นสวรรค์กับพระเจ้ายุธิษเฐียรได้ พระเจ้ายุธิษเฐียรจึงยอมเสด็จขึ้นรถ เขาเล่ากันว่า ดาวหมาที่ขึ้นสว่างในตอนดึกนั้น คือรัศมีอันสว่างของหมาพระเจ้ายุธิษเฐียร จากหนังสือคนรักหมาของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ภาพจากกูเกิ้ล

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2563

พระพุทธรูปบนพระมาลาเบี่ยง

ประวัติ พระพุทธรูปทองคำ ๒๑ องค์ รายรอบพระมาลาเบี่ยงนี้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ รับสั่งว่า คนทอดแหได้พบพระพุทธรูปดังกล่าวในลำแม่น้ำมูล ซึ่งอาจจะตรงกับบริเวณวังปลัด แขวงเมืองนครราชสีมา ต่อมาพระยานครราชสีมานำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้อัญเชิญพระพุทธรูปเหล่านี้ประดิษฐานรอบพระมาลาเบี่ยงที่ทรงสร้างขึ้น คาดว่าสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ มหาราชองค์สุดท้ายของราชอาณาจักรเขมรในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ พุทธลักษณะ พระพุทธรูปที่ประดิษฐานรายรอบพระมาลาเบี่ยงประกอบด้วยพระพุทธรูปในสองอิริยาบถคือ พระพุทธรูปประทับยืน และพระพุทธรูปประทับนั่ง พระพุทธรูปยืนเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่อง พระพักตร์ค่อนข้างกลม แย้มสรวล ทรงศิราภรณ์เป็นชฎามุกุฎซ้อนกันสามชั้น ทรงกุณฑลรูปตุ้ม ประทับยืนตรงแสดงอภัยมุทราด้วยพระหัตถ์ทั้งสอง ทรงกรองศอ พาหุรัด ทองกร และทองพระบาทจำหลักลาย รัดประคดประดับเครื่องเพชรพลอย มีอุบะขนาดสั้นห้อยประดับกับทั้งมีชายภูษารูปหางปลาห้อยย้อยลงมาเบื้องหน้าทับบนอันตรวาสก ขอบคุณเนื้อหาและภาพจากศิลปะพระเครื่องปีที่ ๒ ฉบับที่ ๑๕ เรียบเรียง by krisda paleeriam

วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2563

ประวัติพระยาตากโดยสังเขป

พระยาตาก เกิดเมื่อพุทธศักราช 2277 ปีขาล เป็นบุตรจีนไหยฮอง นายอากรบ่อนเบี้ย (เรื่องที่ว่าพระยาตากเป็นลูกนายอากรบ่อนเบี้ยนั้น มีเรื่องเกี่ยวพันต่อมา โดยเล่าสืบกันมาว่า เวลาเป็นเด็กอยู่ในวัด ก็เป็นหัวหน้าเล่นการพนัน จนถูกอาจารย์ทำโทษอย่างสาหัส ในพระราชพงศาวดารก็ว่า เวลาได้เป็นใหญ่ไปตีเมืองนครศรีธรรมราชได้ ประสงค์จะให้ทหารได้มีการสนุก ก็ให้ตั้งบ่อนเบี้ยขึ้น แล้วแจกเงินให้เล่นกัน) หนังสืออภินิหารบรรพบุรุษเล่าว่า เวลาคลอดใหม่ ๆ นอนอยู่ในกระด้งมีงูตัวหนึ่งเข้าไปขดอยู่ในกระด้ง จึงเป็นเหตุให้บิดาตกใจ กลัวว่าจะเป็นลางร้ายอะไรอย่างหนึ่ง จึงคิดจะเอาลูกไปทิ้ง จีนไหยฮองเป็นคนชอบพอกับเจ้าพระยาจักรี สมุหนายกครั้งแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เจ้าพระยาจักรีได้ทราบเรื่องนี้ และเห็นเด็กมีรูปร่างหน้าตาน่ารักจึงขอเอาไปเลี้ยงไว้ และตั้งชื่อให้เป็นไทยว่า “สิน” ความข้อนี้ก็คงฟังได้แต่เพียงว่า เจ้าตากได้อยู่ในอุปถัมภ์ของเจ้าพระยาจักรีมาแต่เล็ก อาจเป็นเพราะบิดาเอาไปยกให้ เพราะนายอากรมีหน้าที่ต้องผูกมิตรสนิทสนมกับขุนนางผู้ใหญ่ พออายุ 9 ขวบ ก็ได้เล่าเรียนในสำนักพระอาจารย์ทองดี วัดโกษาวาศน์ พออายุ 13 ปี เจ้าพระยาจักรีเอาออกมาจากวัด และนำเข้ามาถวายตัวต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ได้รับราชการเป็นมหาดเล็กได้พยายามศึกษาหาความรู้ในภาษาต่างประเทศ เรียนภาษาจีน ญวน และแขก จนพูดได้คล่องแคล่วทั้ง 3 ภาษา ต่อมาเมื่ออายุครบ 21 ปี เจ้าพระยาจักรีจึงจัดการให้อุปสมบท ได้อยู่ในสิกขาบท 3 พรรษา แล้วก็ออกมารับราชการดังเก่า ได้รับตำแหน่งเป็นมหาดเล็กรายงาน อยู่จนถึงแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ จึงได้รับตำแหน่งเป็นหลวงยกกระบัตรไปประจำเมืองตาก และต่อมาก็ได้เป็นเจ้าเมืองตาก ภายหลังได้เป็นพระยาวชิรปราการสำเร็จราชการเมืองกำแพงเพชร แต่คนทั้งหลายยังคงเรียกพระยาตากอยู่เสมอ และเมื่อมาตั้งตัวเป็นเจ้าขึ้น ก็ยังเรียกกันว่าเจ้าตากอยู่นั่นเอง หลังจากได้รับชัยชนะที่โพธิ์สามต้นแล้ว พระองค์ได้ลงมาสร้างเมืองธนบุรีเป็นราชธานี และประกาศพระองค์เป็น พระเจ้าแผ่นดินไทย เมื่อปีพุทธศักราช 2310 ในเวลานั้นมีพระชนม์ได้ 34 พรรษา ทรงพระนามตามพระราชพงศาวดารว่า สมเด็จพระบรมราชาที่ 4 ซึ่งเราเรียกกันทั่วไปว่า สมเด็จพระเจ้ากรุงธน จากหนังสือเรื่องแผ่นดินพระเจ้าตาก โดย นพ.วิบูล วิจิตรวาทการ (พิมพ์ครั้งที่ 2) ขอขอบคุณมา ณ. ที่นี้ครับ

วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2563

ครั่ง

ครั่งเป็นแมลงชนิดหนึ่ง เมื่อดูดกินน้ำเลี้ยงจากต้นไม้แล้วจะขับถ่ายออกมาพอกตามกิ่งไม้ สมัยก่อนผม กฤษฎา เป็นเด็กจะเจอบ่อยมากบริเวณต้นไม้ในบ้าน สีจะม่วง ๆ พ่อผมจะเก็บมาใช้มีดถากขี้ครั่งออกมาเก็บไว้ เวลาใช้งานจะบดให้ละเอียดแล้วใส่ลงในด้ามมีด แล้วนำมีดเผาไฟ (ส่วนแหลม ๆ เรียกไม่ถูก) รอจนร้อนได้ที่จึงเสียบเข้าไปที่ด้ามมีด (ควันจะเต็มเลยตอนนี้) ครั่งจะเป็นเหมือนกาวประสานยึดให้มีดแน่นดี ใช้งานนาน ๆ ไป หลวมก็ทำใหม่ เคาะออกแรง ๆ ก็ได้ (กรณีต้องการใช้มีดแบบไม่ใช้ด้าม เคยอ่านเจอ) ปัจจุบันพบหาได้น้อยมาก ผมไม่เคยเจออีกเลย ไม่ทราบเพราะอะไร
ขอบคุณ ภาพจากนานาการ์เด้นด็อทคอม

ส้มป่อย

ส้มป่อยจัดเป็นผลไม้ชนิดหนึ่งประเภทเถาวัลย์ ซึ่งผู้รู้มักจะนำมาใช้ผสมน้ำอาบชำระล้างร่างกาย แก้สิ่งอาถรรพณ์ ถูกกระทำย่ำยี ในสิ่งอัปมงคลทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นของคุณไสยหรือเสนียดจัญไรทั้งหลาย นำยอดส้มป่อยมาแกง แก้ไข้หัวลม ผลก็นำมาแช่ทำน้ำมนต์ อาบให้กับคนวิกลจริตที่เกิดจากคุณไสยและภูติผีปีศาสทั้งหลาย หรือประพรหมขับไล่ภูติผีปีศาจ เพราะส้มป่อยเป็นต้นไม้ทิพย์ของพระอินทร์ ซึ่งมีชื่อเป็น "เคล็ด" สำหรับปลดปล่อยสิ่งชั่วร้ายให้ออกจากร่างกายของมนุษย์ (จากหนังสือธาตุกายสิทธิ์ โดยอริยะ)
สำหรับผม กฤษฎา สมัยอยู่กรุงเทพฯ เมื่อกลับมาเยี่ยมที่บ้านที ก่อนกลับกรุงเทพฯ ยายจะเอาฝักส้มป่อยมาย่างแล้วหักใส่กระป๋องใส่น้ำที่จะอาบให้ทุกครั้ง นัยว่าให้พ้นจากสิ่งไม่ดีต่าง ๆ ที่อยู่กับเราให้ออกไป และเพื่อความสวัสดีมีชัยนั่นเอง ส่วนมากทางเหนือจะมีส้มป่อยแทบทุกบ้านครับ (ขอบคุณภาพจากมติชนครับ)

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2563

พระร่วงทองคำ

พระร่วงทองคำเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยศิลปะสุโขทัย เดิมประดิษฐานอยู่ ณ วัดโคกสิงคาราม อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย สร้างในรัชสมัยใดไม่ปรากฏ แต่สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ต่อมาได้มีการอัญเชิญลงมาที่กรุงเทพฯ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่3) โดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นอุดมรัตนรังษี (พระองค์เจ้าอรรณพ) พระราชโอรสในรัชกาลที่ 3 และได้ประดิษฐานเป็นพระประธานในวิหารได้สำเร็จดังที่ทรงตั้งพระทัยไว้
พุทธลักษณะ พระพุทธพระร่วงทองคำ เป็นพระพุทธรูปแบบสุโขทัย ขนาดหน้าตักกว้าง 1 วา 1 ศอก 1 คืบ 5 นิ้ว สูง 1 วา 3 ศอก 1 คืบ 7 นิ้ว องค์พระเป็นโลหะทองคำ (ทองคำ 60 เปอร์เซ็นต์) มีรอยต่อ 9 แห่ง โดยมีหมุดเป็นเครื่องเชื่อมที่รอยต่อ ชุกชีที่ประดิษฐานยาว 2 วา 1 ศอก 7 นิ้ว กว้าง 2 วา 2 ศอก ถัดจากฐานขึ้นไปเรียกว่า บัลลังก์ ทำเป็นลายดอกบัวคว่ำบัวหงายและดอกไม้เครือกระจังลงรักปิดทอง ประดับด้วยกระจกสีต่าง ๆ ปัจจุบันหลวงพ่อพระร่วงทองคำ ประดิษฐานอยู่ในพระวิหารหลวง วัดมหรรณพารามวรวิหาร แขวงเสาชิงช้า เขตพระนคร กรุงเทพมหานครฯ นับเป็นพระพุทธรูปที่มีพระพุทธลักษณะงดงามมากองค์หนึ่งในประเทศไทย ขอบคุณ ที่มาวิกิพีเดียสารานุกรมเสรี ภาพจากอินเตอร์เน็ต เรียบเรียง by krisda paleeriam

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2563

พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร

เป็นพระพุทธรูปสุโขทัยปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 3.12 เมตร หนักประมาณ 5 ตันเศษ รูปลักษณะพระพักตร์ (ใบหน้า) ยาว คางหยัก สังฆาฎิเป็นเขี้ยวตะขาบทั้งข้างหน้าและข้างหลัง นิ้วเป็นนิ้วมนุษย์ผิดกับนิ้วพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยหมวดพระชินราช ซึ่งมีนิ้วพระหัตถ์ (มือ) เสมอกันทั้ง 5 นิ้ว สูงจากฐานถึงยอดพระเกตุมาลา (อยู่เหนือเศียรพระพุทธรูป) 3.94 เมตร ถอดออกได้เป็น 9 ชิ้น คือพระพาหา (แขน) ทั้งสอง พระหัตถ์ (มือ) ทั้งสอง พระชงฆ์ (แข้ง) ทั้งสอง พระเพลา (ขา,ตัก) ทั้งสอง และตรงพระศอ (คอ) โดยมีกุญแจสำหรับถอดและประกอบกันเข้าแล้วก็สนิทเหมือนเป็นเนื้อเดียวกัน มีความบริสุทธิ์ของเนื้อทองจากฐานขององค์พระ 40 เปอร์เซ็นต์ เรื่อยขึ้นไปถึงพระพักตร์ (ใบหน้า) มีความบริสุทธิ์ของทอง 80 เปอร์เซ็นต์ ส่วนยอด (พระเกตุมาลา) เป็นทองคำเนื้อแท้ 99.99 เปอร์เซ็นต์ และมีน้ำหนักเฉพาะส่วนยอดนี้ 45 กิโลกรัม
ประวัติการสร้าง สร้างเมื่อใดยังไม่แน่ชัด เชื่อกันว่าสร้างในสมัยสุโขทัยและเป็นพระพุทธรูปสำคัญของวัดมหาธาตุสุโขทัย ดังที่ปรากฏในหลักศิลาจารึกว่า "วัดมหาธาตุกลางเมืองสุโขทัย มีพิหาร มีพระพุทธรูปทอง มีพระอัฏฐารส มีพระพุทธรูป มีพระพุทธรูปอันใหญ่ มีพระพุทธรูปอันราม" ซึ่งพิจารณาตามหลักฐานอื่น และเหตุผลประกอบแล้ว พระพุทธรูปองค์นี้น่าจะเป็นพระพุทธรูปทองคำองค์ดังกล่าวเพราะปริมาณทองคำแท้นี้รวมถึงขนาดพระพุทธรูปนี้ย่อมเกินกว่าที่สามัญชนทั่วไปพึงสร้างเป็นสมบัติ ปัจจุบันประดิษฐานที่วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร ศึกษาประวัติและที่มาของพระพุทธรูปองค์นี้เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซด์ วิกิีเดียสารานุกรมเสรี เรียบเรียงโดย krisda paleeriam ขอบคุณที่มาเรื่องและภาพจาก เว็บฯวิกิพีเดียสารานุกรมเสรี

วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2563

พลังฤทธิ์สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี



     ในยุครัตนโกสินทร์ของเรานี้ยากที่จะหาพระเกจิอาจารย์องค์ใดที่จะมีพลังอภิญญาจิตและวัตรประฏิบัติได้เท่าเทียมกับเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์พระองค์นี้ได้เลย แม้กระทั่งพระเครื่องที่ท่านได้สร้างขึ้นแจกฟรีเมื่อหนึ่งร้อยกว่าปีก่อนก็มีราคาเป็นสิบล้านยี่สิบล้าน ในเวลานี้เรื่องราวที่ท่านได้อ่านต่อไปนี้เป็นบันทึกที่ได้รับการจดจำและเล่าขานกันเป็นตำนานมาตราบเท่าทุกวันนี้

ขอทางเจ้าแม่ลานเท

     เรือสองแจวลำนั้นค่อย ๆ มุ่งลัดตัดไปตามลำน้ำเจ้าพระยาภายในมีพระภิกษุชราครองจีวรคร่ำนั่งบริกรรมชักประคำด้วยความสงบ แม่น้ำเจ้าพระยาในยามนี้คลื่นลมสงบ เรือสองแจวพายโดยเลกวัด (ทาสที่เขาถวายให้วัดเพื่อใช้ในกิจการของวัดแล้วแต่จะเห็นสมควร) พุ่งปราดไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่สม่ำเสมอ
     ดวงตะวันค่อย ๆ เคลื่อนดวงใกล้กับขอบฟ้าที่จรดกับผืนดินเข้าไปทุกทีท่ามกลางความขมุกขมัวนั้นท้องน้ำเบื้องหน้าเปิดกว้างออกเผยให้เห็นความกว้างของสองฝั่งอย่างเต็มตา ด้านฝั่งหนึ่งของลำน้ำแสงเทียนและธูปยังวับแวมพอสังเกตุเห็นเสียงเลกที่อยู่ด้านหน้ากราบเรียนท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี เมื่อเห็นท่านลืมตาขึ้นจากการบริกรรม
     “พระคุณขอรับเข้าเขตลานเทแล้วละขอรับ จะให้จอดแวะพักก่อนหรือไม่ขอรับ ลานเทนี้เดินทางกลางคืนอันตรายมากเพราะบริวารเจ้าแม่นั้นมักจะออกมาเล่นน้ำ เคยลอยตัวให้ชาววังบนเรือพระที่นั่งได้เห็นมาแล้ว”
     “ไปเถิดโยม ฉันต้องไปถึงบ้านงานให้ได้ในคืนนี้ หาไม่แล้วพรุ่งนี้พิธีที่บ้านเขาจะไม่สะดวก เพราะฉันรับนิมนต์ไปเป็นประธานฉันเช้า”
     “ได้ขอรับ”
     เรือน้อยลำนั้นเปรียบประดุจเรือกระดานที่ล่องลอยไปในท้องน้ำอันเวิ้งว้าง พอเข้าไปในกึ่งกลางเขตลานเทสิ่งที่ไม่คาดฝันก็บังเกิดขึ้น ท้องฟ้าเบื้องบนแลบแปลบปลาบ ลมพายุพัดกระหน่ำ ตีน้ำให้เกิดเป็นระลอกคลื่นคลุ้มคลั่ง บางครั้งก็พัดโยกเอาหลังคาเรือกันยาที่แล่นไปข้างหน้าถึงกับเอียงวูบ
     ในท่ามกลางลูกคลื่นนั้นยังมีน้ำวนคล้ายกับถูกพลังของอะไรอย่างหนึ่งทำให้มันหมุนวนขึ้นเพื่อจะทดสอบดูว่าสิ่งที่เข้ามาใกล้วังวนนั้นจะทนได้หรือไม่ ฟ้าแลบแล้วผ่าเปรี้ยงเป็นการข่มขวัญที่บนฝั่ง แสงฟ้าที่ฟาดลงใส่ต้นไม้ใหญ่ทำให้เกิดไฟลุกโชติช่วงขึ้นกับต้นไม้นั้นด้วยแรงฤทธิ์แห่งสายฟ้า
     “แวะเถิดขอรับพระคุณท่านเหลือกำลังแล้ว”
     “เอาเถอะฉันจะขอทางเจ้าแม่เอง”
     ในท่ามกลางพายุอันพัดกระหน่ำนั้นเอง เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ตีชุดขึ้นเหมือนไม่มีอะไรมาพัดซึ่งความเป็นจริงบนเรือและโดยรอบขณะที่ท่านตีชุดนั้นกลับสงบเงียบ แสงเทียนจากไฟดวงเล็ก ๆ ที่จุดขึ้นจากชุดสว่างขึ้น เจ้าประคุณสมเด็จหยิบโอ (ขันใบขนาดกลางสำหรับใส่ภัตตาหาร) ขึ้นมาบรรจงหยดน้ำตาเทียนลงไปเพื่ออาศัยเป็นฐานปักเทียน เมื่อปักเทียน
     เจ้าประคุณสมเด็จยกโอขึ้นบริกรรมแผ่เมตตาจิตไปยังเจ้าแม่ลานเทผู้คุ้มครองน่านน้ำเพื่อขอทางให้ท่านได้เดินทางผ่านไปยังบ้านงาน ด้วยการขวางทางพระจะไปปฏิบัติกิจนิมนต์นั้นเป็นอนันตริยะกรรม แม้พระเจ้าสุปะพุทธะมาขวางทางเสด็จทรงโปรดสัตว์ของพระบรมศาสดายังถึงถูกธรณีสูบในเจ็ดวัน เมื่อแผ่เมตตาแล้วท่านได้ออกมาที่หัวเรือเอาโอนั้นลอยลงไปในน้ำ โอค่อย ๆ ลอยน้ำหน้าเรือไปเหมือนมีใครมาดึงไปไม่แฉลบออกนอกแนวหัวเรือ เสียงเจ้าประคุณสมเด็จสั่งว่า
     “โยมทั้งสองพายไปเถิด พายให้หัวเรือตรงกับโอรับรองไม่มีอันตราย”
     สิ้นเสียงความมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นเมื่อผืนน้ำบริเวณหน้าเรือกลับสงบเรียบราบเป็นช่องพอให้เรือแล่นผ่านไปทั้ง ๆ ที่สองข้างนั้นคลื่นตีฟองและฝนตกหนักวังน้ำวนกลับเปิดเป็นทางให้เช่นกัน โอแล่นนำหน้าเรือไปจนพ้นลานเทจึงหยุดนิ่งกับที่รอให้เจ้าประคุณก้มลงเก็บขึ้นมา เสียงเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) อุทิศกุศลให้เจ้าแม่ลานเทดังเบา ๆ จนกระทั่งเรือแล่นลับไปจากลานเททิ้งความปั่นป่วนเอาไว้เบื้องหลัง
     ครั้นเมื่อถึงบ้านงานแล้วจึงเข้าจำวัดพักผ่อนหลังจากสวดมนต์ฉันเช้าแล้วก็มีคนเดินทางมาจากลานเทแวะบ้านงานแล้วเล่าเรื่องประหลาดว่า เมื่อคืนนี้เรือกันยาแล่นผ่านลานเทขณะที่มีพายุร้ายแม้แต่เรือกลไฟและเรือใหญ่ยังจอดแอบเข้าฝั่งกันหมด แต่เรือนั้นกลับแล่นไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชาวเรือโจทก์กันว่าเจ้าแม่ลานเทพิโรธผู้ที่ทำผิดต่อเจ้าแม่ แต่กลับให้เรือกันยานั้นผ่านได้น่าอัศจรรย์ คนบนบ้านจึงรู้ว่าเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) มีอภิญญาจิตอันกล้าแกร่งสามารถขอทางเจ้าแม่มาได้

จากหนังสือฤทธิ์อภิญาจิตเกจิอาจารย์ โดยประเจียด คงศาสตรา
    

วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

ไฟไหม้วัดระฆังตอนจบ


     ท่านพระครู โฆษิตปริยติกุลผู้ช่วยเจ้าอาวาสซึ่งกำลังจัดเก็บข้าวของต่าง ๆ ที่เหลือจากซากกองเพลิงกล่าวว่า อาตมาได้มาจำพรรษาที่วัดระฆังนี้เป็นเวลาหลายปีมาแล้ว ช่วงที่เกิดเหตุเพลิงไหม้นั้นอาตมากำลังจะออกจากวัดเพื่อที่จะรับกิจนิมนต์ที่ญาติโยมมานัดเอาไว้ พอออกไปได้ไม่นานเท่าไรก็ได้ยินชาวบ้านเค้าบอกว่าไฟไหม้ที่กุฏิอาตมาจึงรีบเดินทางมาดู พอมาถึงก็ปรากฏว่าไฟไหม้กุฏิหมดทั้งหลังแล้ว อาตมาจึงได้บอกให้พระที่จำพรรษาก็มีชาวบ้านอยู่ที่วัดช่วยกันเก็บของมีค่าที่อยู่ในห้องที่สองของกุฏิออกมาเก็บเอาไว้
     หลังจากนั้นก็มีชาวบ้านเข้าไปค้นหาของมีค่าที่ยังหลงเหลืออยู่บ้างก็นำเอาไปบูชา บ้างก็นำเอาไปบูชา บ้างก็นำเอาไปให้เขาเช่าต่อ แต่ที่อาตมามีความแปลกใจมากที่สุดก็คือ ลังไม้ที่บรรจุพระสมเด็จที่สร้างไว้ในปี 2523 เกือบสิบกว่าปีมาแล้ว โดยมีรูปหล่อของหลวงพ่อโต พรหมรังสี นั่งทับอยู่โดยที่ไฟไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลยนอกจากมีริ้วรอยนิดหน่อย นอกจากนี้รูปเหมือนหลวงพ่อที่มีอายุร่วม 40 ปี ก็ไม่ได้รับอันตรายจากไฟด้วยนอกนั้นก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่อีกเลยท่านผู้ช่วยเจ้าอาวาสกล่าว


จากหนังสือสมเด็จวัดระฆังพิเศษ 11 สุดยอดพระเครื่องตลอดกาลโดยเซียนพระสุดสัปดาห์

วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

ไฟไหม้วัดระฆัง (ตอนที่ 3)


     ปรากฏว่าพระเพลิงได้ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีเผากุฏิชั้นบนที่ทำด้วยไม้สักเก่าแก่ทั้งหลังวอดวายจนหมดสิ้นเหลือแต่กุฏิชั้นล่างที่จำพรรษาของพระบวชใหม่ที่ทำด้วยปูนเท่านั้น ในระหว่างที่เพลิงกำลังลุกไหม้อยู่นั้นได้มีชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้เคียงทราบข่าวไฟไหม้วัดระฆัง ต่างก็ทยอยกันมามุงดูอยู่เป็นจำนวนมากเพื่อที่จะรอให้พระเพลิงสงบจะได้เข้าไปค้นหาของมีค่ารวมทั้งพระสมเด็จของ “พุฒาจารย์โต พรหมรังสี” ที่ชาวบ้านเชื่อกันว่าไฟไม่อาจที่จะทำอะไรได้อีกด้วย ในขณะที่พระเพลิงยังไม่สงบดีปรากฏว่าได้มีชาวบ้านจำนวนมากที่มาออกันอยู่ที่บริเวณกุฏิไฟไหม้ ได้พากันเข้าไปขุดคุ้ยหาของมีค่าต่าง ๆจำนวนหลายร้อยคน โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านของเจ้าหน้าที่ ๆ ไประงับเหตุและพระลูกวัดแต่อย่างใด บางคนที่รู้ข่าวถึงกับแห่กันเหมารถมาจากต่างจังหวัดก็มี แต่ก็มีบางคนที่หัวใสเข้าไปค้นหาของมีค่าและพระต่าง ๆ ที่ไม่ถูกไฟไหม้นำมาขายต่อที่หน้าบริเวณกุฏิที่ถูกไฟไหม้สนนราคาก็ขึ้นอยู่กับพระต่าง ๆ เช่น รูปเหมือนหลวงพ่อโต พรหมรังสี ที่เป็นกระดาษมีอายุร่วม 40 ปีราคา 50 บาท พระสมเด็จเนื้อผงราคาประมาณตั้งแต่ 200 ถึง 500 บาทขึ้นไป แต่จุดที่ผู้คนสนใจกันมากเป็นพิเศษนั้นเห็นจะได้แก่บริเวณห้องที่เก็บพระบูชาของเจ้าอาวาสซึ่งมีพระพุทธรูปต่าง ๆ มากมายตั้งอยู่ทางด้านปีกซ้ายของกุฏิห้องที่สอง ปรากฏว่ามีพระพุทธรูปหลายองค์ได้ถูกอำนาจของพระเพลิงเผาผลาญไปจนหมดสิ้น บางองค์ก็เหลือไม่เต็มองค์มีแต่รูปหล่อหลวงพ่อโต พรหมรังสี และพระสมเด็จที่อยู่ในลังที่มีรูปหล่อของท่านนั่งอยู่ และรูปเหมือนที่เก็บเอาไว้อายุเกือบ 40 ปี ฤทธิ์ของพระเพลิงไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ ผู้คนที่ได้พบเห็นถึงกับมาขอเช่าไว้เพื่อบูชาแต่ก็ได้รับความผิดหวังกลับไป เพราะพระครูโฆสิตสมณคุณผู้ช่วยท่านเจ้าอาวาสท่านไม่อนุญาติ

ติดตามตอนต่อไปจากหนังสือสมเด็จวัดระฆังพิเศษ 11 สุดยอดพระเครื่องตลอดกาลโดยเซียนพระสุดสัปดาห์

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

ไฟไหม้วัดระฆัง (ตอนที่ 2)


     แต่ไสยศาสตร์นั้นเป็นความเชื่อมั่นของคนสมัยเก่าส่วนคนสมัยใหม่เขาจะเชื่อวิทยาศาสตร์กันมากกว่า ฉะนั้นวิทยาศาสตร์กับไสยศาสตร์มักมีความคิดเห็นไม่ค่อยจะตรงกันส่วนมากมักจะถกเถียงกันเรื่อยมาไสยศาสตร์นั้นต่างกับวิทยาศาสตร์ตรงที่ว่า วิทยาศาสตร์สามารถที่จะแสดงให้เห็นจริงได้ และพิสูจน์ได้ด้วยเทคโนโลยี่สมัยใหม่บวกกับเหตุผลและหลักวิชาการ แต่ไสยศาสตร์นั้นเป็นศาสตร์ที่มีมานานแล้ว ว่ากันว่ามีมาก่อนสมัยพุทธกาลที่พระพุทธเจ้าจะมีประสูติกาลเสียอีก
     ประเทศไทยของเรานั้นประชาชนส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาพุทธกันเป็นส่วนใหญ่ เราจึงมักเห็นเรื่องราวอภินิหารต่าง ๆ มากมายที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ ๆ อย่างเช่นเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2534 เวลา 10.45 น. ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ที่กุฏิคณะหนึ่งของเจ้าอาวาสวัดระฆังที่สร้างมาร่วมเกือบ 80 ปี และเป็นที่เก็บพระพุทธรูปต่าง ๆ มากมายรวมทั้งพระสมเด็จวัดระฆังที่เพิ่งสร้างขึ้นในปี 2523 และรูปหล่อหลวงพ่อโต พรหมรังสี อดีตเจ้าอาวาสวัดระฆังพระเกจิชื่อดังในอดีตอีกด้วย




ติดตามตอนต่อไปจากหนังสือสมเด็จวัดระฆังพิเศษ 11 สุดยอดพระเครื่องตลอดกาลโดยเซียนพระสุดสัปดาห์

วันพุธที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

ไฟไหม้วัดระฆัง


ไฟไหม้วัดระฆังเพลิงเผากุฏิวอดรูปหล่อสมเด็จไม่ละลาย

     อภินิหารสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี อดีตเจ้าอาวาสวัดระฆัง พระเพลิงโหมไหม้กุฏิทั้งหลังวอดเป็นเถ้าถ่าน แต่รูปเหมือนของท่านและพระสมเด็จที่อยู่ในหิ้งบูชากลับไม่เป็นอะไรเลย ผู้คนนับร้อยแตกตื่นพากันไปขุดหาในซากกองเพลิงเพื่อที่จะเก็บไว้บูชา 3 วัน 3 คืน

ลักษณะที่หลวงพ่อโต นั่งทับลังไม้ที่บรรจุพระสมเด็จต่าง ๆ จำนวนนับร้อย ๆ องค์แต่ไม่ยักเป็นอะไรเลย

     เรื่องราวของไสยศาสตร์เวทมนต์และอภินิหารนั้น เป็นเรื่องที่คนเรามักพูดกันอยู่เสมอ ๆ ว่าเป็นเรื่องจริงบ้างไม่เป็นจริงบ้างซึ่งก็แล้วแต่ละบุคคลที่จะคิดกันไปบ้างก็นำเอาเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ได้ประสพมากับตนเองโดยพยายามหาเหตุผลต่าง ๆมาช่วย เพื่อที่จะให้คนที่ได้รับฟังนั้นเกิดความเชื่อตามที่พูด สำหรับผู้ที่ได้รับฟังถ้าเกิดมีความเชื่อในเรื่องนี้เป็นทุนอยู่แล้วก็จะทำให้เชื่อตามที่พูดไปด้วยและอยากจะไปดูให้เห็นกับตาตัวเอง แต่สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อในเรื่องนี้ซึ่งส่วนมากมักจะเป็นคนสมัยใหม่ ก็จะเออออห่อหมกไปตามประสา เพื่อที่จะไม่ให้คนที่เล่ามานั้นเกิดความเสียใจที่อุตส่าห์นำเรื่องปาฏิหาริย์ต่าง ๆ มาบอกเล่าให้ฟัง

พระสมเด็จต่าง ๆ ที่อยู่ในลังไม้


ติดตามตอนต่อไปจากหนังสือสมเด็จวัดระฆังพิเศษ 11 สุดยอดพระเครื่องตลอดกาลโดยเซียนพระสุดสัปดาห์


วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2563

เสาเอกกุฏิสมเด็จโต

พระสมเด็จเนื้อไม้เสาเอก

      
     สิ่งที่ถือเป็นอนุสรณ์นับเนื่องในสมเด็จพระพุฒาจารย์โต ที่หลงเหลือให้เห็นในปัจจุบันนี้นอกเหนือจากพระสมเด็จอันลือลั่นแล้วยังมีของสำคัญอีกชิ้นหนึ่งนั่นคือ ไม้เสาเอกกุฏิของท่าน
     ขณะนี้หลงเหลือเป็นท่อนสั้น ๆ ทางวัดระฆังโฆสิตารามเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี เอาใส่กรงเหล็กขนาดกว่าสี่หุน ถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์ชิ้นหนึ่ง เพราะเสาเอกนี้ได้ค้ำยันกุฏิของท่าน และท่านก็ย่างเหยียบเข้าออกทุกวัน
     เมื่อหลายปีก่อนโน้นว่ากันว่ายังมีเค้ากุฏิของท่านเหลือให้เห็นครั้นกาลเวลาผ่านไป ก็ค่อย ๆ ปรักหักพังคงเหลือแต่เสากุฏิที่จมอยู่ในดินเพียงเท่านั้น ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2512 หลวงปู่หิน อินทวินโย พระเถระเชี่ยวชาญวิทยาคมและธรรมวิปัสสนาแห่งวัดระฆังท่านให้ลูกศิษย์ลูกหาช่วยกันขุดขึ้นมา

เสาเอกกุฏิสมเด็จโต

     เนื้อไม้แข็งมากประดุจหินใช้เลื่อยวงเดือนตัดยังมีประกายไฟ และไม้เสากุฏิสมเด็จโตนี้แหละครับหลวงปูหินเอาสร้างพระสมเด็จพิมพ์หนึ่งมีชื่อเรียกว่า “สมเด็จทรงนิยมเสาเอก”
     การสร้างค่อนข้างพิลึกพิลั่นและต้องใช้ความอุตสาหะวิริยะเป็นอย่างมาก แม่พิมพ์ใช้โลหะเนื้อแข็งแกะเป็นรูปพระสมเด็จ เสร็จแล้วเอามาเผาไฟจนร้อนแดงนำไปประทับบนเนื้อไม้ที่ตัดแบ่งเป็นชิ้นฟัก
     ความร้อนจะไหม้เนื้อบางส่วนเป็นถ่าน เมื่อทำการเซาะส่วนที่ถูกเผาไหม้นั้นออก ก็จะปรากฏเป็นรูปพระสมเด็จ ที่ขอบด้านบนจะเจาะเป็นรูบรรจุผงวิเศษต่าง ๆ เป็นเพราะการแบ่งเป็นชิ้นฟักของเนื้อไม้แต่ละชิ้นนั้นตัดด้วยมือและประมาณเอา ขนาดจึงไม่เท่ากันทุกชิ้น
     เมื่อพิมพ์พระออกมาแล้วพระจึงมีขนาดใหญ่ไม่เท่ากันนัก ใหญ่บ้างเล็กบ้างแตกต่างกันเล็กน้อยกระนั้นจุดที่ตายตัวอย่างซุ้มระฆังพอวัดได้ ซุ้มเรือนแก้วด้านล่างกว้างสองเซนติเมตร ความสูงของซุ้มเรือนแก้วสามเซนติเมตร
     ขอบด้านข้างและด้านหลังปรากฏรอยฟันเลื่อยชัดเจน เฉพาะอย่างยิ่งด้านหลังนั้นจะเห็นชัดเป็นเส้นแพฟันเลื่อย สีเนื้อไม้ของพระออกแดงอมดำคร่ำ เนื้อแน่นทึบมีน้ำหนักพอควร ด้านหลังพระตอกหมายเลขทุกองค์ เป็นเลขอารบิก หรือเลขฝรั่งตังบางคมขนาดเขื่อง พระเถระในวัดระฆังที่ทราบเรื่องการสร้างดี ได้เมตตาบอกว่า หมายเลขที่ตอกมีตั้งแต่หนึ่งเรื่อยมาจนถึงห้าร้อย

เรื่องและภาพจากหนังสือสมเด็จวัดระฆังพิเศษ11 สุดยอดพระเครื่องตลอดกาลจากเซียนพระสุดสัปดาห์ ขอขอบคุณมา ณ. ที่นี้

วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2563

เบี้ยเดินได้เหมือนมีวิญญาณ


  
ภาพพระอริยะเจ้าหลวงปู่เพิ่มวัดกลางบางแก้ว จากวิกิพีเดีย
     วิชาที่หลวงปู่เพิ่มได้รับการถ่ายทอดมาจากหลวงปู่บุญก็คือวิชาเบี้ยแก้ ซึ่งหลวงปู่เพิ่มได้ใช้วิชานี้ทำเบี้ยแก้ให้สาธุชนได้นำไปติดตัวอย่างได้ผลดีมามากต่อมาก ซึ่งการปลุกเสกเบี้ยแก้นั้นจะต้องปลุกเสกให้เบี้ยเดินหรือเคลื่อนไหวไปมาได้อย่างจริงจังจึงจะนับว่าใช้ได้เรื่องเบี้ยเดินได้นี้คุณสุธน ศรีหิรัญได้เขียนว่า
     “คืนนั้นผมตั้งใจว่าจะขึ้นไปนมัสการท่านเพื่อเรียนถามเรื่องเก่า ๆ สมัยที่ท่านอยู่กับหลวงปู่บุญเพื่อเอาไว้เป็นข้อมูลเขียนประวัติของหลวงปู่บุญต่อไป วันนั้นปลอดคนประตูกุฏิของหลวงปู่เปิดไว้ เมื่อผมเดินเข้าไปก็เห็นท่านนั่งสมาธิอยู่หน้าถาดที่มีเบี้ยแก้วางอยู่สิบกว่าตัวผมไม่ต้องการจะกวนท่าน เพราะท่านกำลังบริกรรมปลุกเสกเบี้ยแก้อยู่นั่นเอง
     ผมค่อย ๆ ย่องผ่านหน้ากุฏิไปแต่แล้วก็ต้องตัดสินใจหันมามองจุดที่เกิดเสียงกร็อกแกร็ก ๆ ถาดที่วางอยู่ตรงหน้าหลวงปู่นั่นเอง เสียงนั้นดังมาจากเบี้ยแก้หุ้มตะกั่วแล้วนั่นเอง เบี้ยเหล่านั้นโคลงตัวไปมาซ้ายทีขวาทีเหมือนมีวิญญาณ ตัวที่อยู่ใกล้ขอบถาดก็เขยิบตัวปีนขอบถาดตกลงมาอยู่ที่พื้นแล้วก็โคลงตัวไปมาเหมือนเบี้ยเหล่านั้นมีชีวิต
     พอหลวงปู่หยุดบริกรรมเบี้ยนั้นก็เงียบ หลวงปู่ลืมตาขึ้นเก็บเบี้ยแก้ที่ตกอยู่นอกถาดใส่ถาดไว้ แสดงให้เห็นว่าอำนาจจิตของหลวงปู่เพิ่มนั้นยอดเยี่ยมนัก”
     ผู้ที่สนใจเบี้ยแก้ลองไปดูที่หนังสือ อ.ตี๋เหล้าท่าพระจันทร์ทำไว้เรื่องเครื่องราง ผมว่าเขาเป็นตัวจริงคนหนึ่งด้านเครื่องรางนะจากการดูหนังสือเล่มนี้ ภาพในเน็ตหาตัวจริงยากมากครับของเก๊เกลื่อน (ผมไม่ได้ค่าโฆษณานะ กฤษฎาเขียนส่วนนี้)
จากหนังสือฤทธิ์อภิญญาจิตเกจิอาจารย์ โดยประเจียด คงศาสตรา

วันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2563

น้ำมนต์หลังคาโบสถ์


   
ภาพพระอริยะเจ้าหลวงพ่อทับวัดทอง จากมติชน
     เสียงเจ๊กเพียวคนอยู่ข้างวัดทองร้องถามหาหลวงพ่อทัพดังลั่น
     “อาเณงเอ๊ยอาหลงโพ่อยู่หมายอั๊วมาหาจะมาเอาน้ำมง”   
     ลูกชายของแกป่วยกินข้าวไม่ได้มาหลายวัน ต้มยาจีนหมดไปหลายเทียบก็ไม่มีผล แกนึกขึ้นได้ว่าหลวงพ่อทัพเป็นหมอยาและอาคมกล้าจะได้ขอน้ำมนต์ไปให้ลูกชายกินจะได้หายจากโรค
     “อยู่ที่โบสถ์โน่นแนะกำลังมุงหลังคามั้ง เพราะบ่นว่าหลังคารั่ว”
     เจ๊กเพียวหิ้วไหขนาดเล็กที่ภายในมีน้ำฝนติดมือมาที่โบสถ์ ตอนนั้นหลวงพ่อทัพกำลังมุงหลังคาโบสถ์ร่วมกับพระเณรเป็นโกลาหล อาเจ๊กเพียวร้องตะโกนเรียกหลวงพ่อเสียงลั่น
     “อาหลวงพ่อคัก อั๊วมาขอน้ำมง ลูกอั๊วมันไม่สบายอั๊วจะเอาไปให้มันกิน หลวงพ่อทัพได้ยินเข้าก็จึงค่อย ๆ เลื่อนตัวมาที่ริมหลังคาโบสถ์แล้วร้องบอกเจ๊กเพียวว่า
     “เองเปิดปากไหข้าจะทำน้ำมนต์ให้”
     หลวงพ่อทัพจ้องดูปากไหน้ำมนต์สักครู่ก็เป่าลมปราณลงมาปากก็ร้องบอกว่าเพี้ยงดีแล้วเอาไปได้ ข้ากำลังยุ่ง เจ๊กเพียวละไปจากโบสถ์ด้วยความขุ่นมัว มีอย่างที่ไหนขอน้ำมนต์เพียงชะโงกหน้ามามองเป่าเพียงชะโงกหน้ามามองเป่าเพี้ยงแล้วบอกว่าเสร็จ มันแกล้งกันชัด ๆ ไม่ลำบากจริงไม่มาหรอกวะหนอยแน่ขี้เกียจฉิกหายกูไม่นับถือแล้ว ว่าแล้วเจ๊กเพียวก็ยกไหน้ำมนต์ทุ่มลงบนถนนอย่างโกธรแค้น
     “เป๊ง คลุก ๆ”
     ไหไม่แตกยังไม่หายแค้นเปิดฝาไหแล้วเทน้ำมนต์ทิ้งน้ำมนต์กลับแข็งเต็มปากไห ไม่หยดลงมาสักหยด เขย่าจนหน้าแดงน้ำก็ไม่ออกมา เสียงเจ๊กเพียวร้องเอะอะกลับมาที่โบสถ์
     “กำเสี่ยฮ้อ อาหลงพ่อเอาไหทุ่มไหก็ไม่แตกเอาน้ำมนต์เททิ้งมันก็ไม่ออก เก่งฉิกหายเลย อั๊วยอมเกียเอ๊ยกัว”

จากหนังสือฤทธิ์อภิญญาจิตเกจิอาจารย์ โดยประเจียด คงศาสตรา

อ้ายพวกขอทาน


    
พระอริยะเจ้าหลวงพ่อเขียนวัดถ้ำขุนเณร จากเว็บประมูลพระเครื่อง
    
      หลวงพ่อเขียนท่านฝากเงินของวัดไว้ที่มัคทายกวัด เมื่อท่านก่อสร้างเสนาสนะแล้วก็เบิกเงินจากมัคทายก เพื่อจะไปให้ค่าวัสดุ แต่มัคทายกได้เอาเงินนั้นไปให้เขากู้จนหมดและยังมาปฏิเสธหลวงพ่อว่าไม่ได้เก็บเงิน เพราะหลวงพ่อไม่เคยฝากเงินไว้เลย หลวงพ่อเขียนจึงถามอีกครั้งหนึ่งว่า
      “ข้าฝากเงินไว้หรือเปล่าถ้าเปล่าก็ให้ยืนยันมา”
     “ไม่ได้ฝากเป็นพระเป็นเจ้าเที่ยวได้เอาความไม่ดีมาให้ชาวบ้านมันจะใช้ได้อย่างไรกัน”
     “เออ เอาละ ใครก็ตามมันยักยอกเงินสร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ มันไม่เคยได้ดีมันมีแต่คลานขี้จมเยี่ยว จะมาลอยจอยมะลึงต้องขอทานเขากินจนสิ้นชาติคน”
     “เออกูจะคอยดูว่าเมื่อใดกูจะขอทาน”
     เพียงหกเดือนต่อมาคนทั้งบ้านก็เกิดป่วยเป็นโรคริดสีดวงตารักษาจนหมดเงินก็ไม่หายในที่สุดตาก็บอด หลานที่ออกมาก็ตาบอดข้างหนึ่งคนทั้งบ้านตาบอดคลานขี้คลานเยี่ยวอย่างน่าสงสาร เงินก็หมด บ้านก็ต้องขายที่สุดก็ชวนกันออกขอทาน ก็ถูกรถชนตายหมดไม่มีเหลืออยู่ที่วังตะกูแม้แต่คนเดียวเรียกว่าฉิบหายทันตาเห็นเหมือนที่หลวงพ่อแช่งจริง ๆ
    
จากหนังสือฤทธิ์อภิญญาจิตเกจิอาจารย์ โดยประเจียด คงศาสตรา

วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2563

นางมาผู้ถึงกรรม


   
ภาพหลวงพ่อเขียน ธัมมรักขิโต จากข่าวสด
   
     เสียงเล็กแหลมของผู้หญิงดังขึ้นที่หน้ากุฏิหลวงพ่อเขียนที่วัดวังตะกู อ.บางมูลนาค พระในวัดโผล่หน้ามาดูกันสลอน
     “มีอย่างที่ไหนกันวะ เลี้ยงม้าไว้แล้วไม่ดูไม่แลให้มันเที่ยวได้ไปกินพืชผลของชาวบ้านเขาปลูกกันแทบตายโหงตาห่า ถือว่าเป็นพระไม่มีใครกล้าด่าหรือวะ กูนี่แหละเฮ้ยอีมา ทั้งวังตะกูเขากลัวปากกูทั้งนั้น”
     ครับอ้ายเขียวยักษ์ เป็นม้าที่หลวงพ่อต้องจำใจเลี้ยงไว้ เพราะญาติโยมเอามาถวายให้ท่านได้เลี้ยงด้วยความศรัทธา มันเคยพยศกัดหลวงพ่อลองดีหลายเขี้ยว แต่ทำอะไรไม่ได้หลวงพ่อจึงต้องลงอักขระที่กีบเท้ามันป้องกันคนทำร้ายและมันก็ถูกยิงจนขนหลุดเป็นแปลงโดยฝีมือ มรรคทายกนวม สามีของนางมาที่มายืนด่าหลวงพ่อเขียนปาว ๆ อยู่นั่นเอง
     หลวงพ่อเขียนทนอยู่นานจนออกมาร้องบอกนางมาว่า
     “พอทีเถอะยายมาแกด่าฉันมาจนเกินคุ้มข้าวของแกแล้วถ้าไม่หยุดปากเน่า”
     “หนอยอย่ามาพูดดีเลยวะ ปากกูกินเกลือกินปลาร้ามันจะเน่าอย่างไรให้มันรู้ไปด่าให้มันสะใจอย่างนี้แหละวะ”
     อีกไม่กี่วันนางมาก็กินแกงร้อน ๆ แล้วลวกปากพองกลายเป็นแผลเน่า ลุกขึ้นไปไหนมาไหนไม่ได้ปากเน่าเหม็น แม้แต่ลูกผัวก็ไม่กล้าเข้ามาใกล้ เพราะเพียงแต่ได้กลิ่นปากก็แทบจะอาเจียน
     มีคนไปบอกหลวงพ่อเขียนท่านหน้าสลดแล้วบอกว่ากูแช่งมันไปเอง มันไม่เคยเห็นแก่ผ้าเหลืองของกู หลวงพ่อให้ไปบอกนางมาให้เอาดอกไม้ธูปเทียนมาขมากรรมกับหลวงพ่อ นางมาได้ให้ญาติพยุงกันมาขอขมาแทบบาทหลวงพ่อ จากนั้นแผลก็หายวันหายคืน

จากหนังสือฤทธิ์อภิญญาจิตเกจิอาจารย์ โดยประเจียด คงศาสตรา

วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2563

ปีศาจแห่งภูเขาควาย (ตอนจบ)


    
ภาพหลวงปู่ตื้อ อลจธัมโม จากโอเคเนชั่น
 
     ไก่ป่าส่งเสียงขันแว่วมาจากปากถ้ำ นกกาเริ่มออกหากิน พระธุดงค์สองรูปพากันเดินลงจากถ้ำเชิงภูเขาควาย
     “เมื่อคืนนี้ท่านแหวนมีสมาธิดีเหลือเกิน” เสียงพระอาจารย์ตื้อเอ่ยขึ้นขณะที่ไต่ถ้ำลงมา
     “ท่านตื้อดีกว่าผมสียอีกไม่พูดไม่จาอะไร ผมต้องเอ่ยถามเพราะนึกว่าท่านหลับตาภาวนาเพลินไปเสียแล้ว”
     “ธรรมะบทนั้นของท่านแหวนช่วยส่งวิญญาณของเขาไปเกิดได้ คงจะเป็นสิ่งนี้แหละที่ชาวบ้านกลัวกันนักกันหนา”
     “ตัวอะไร” ท่านแหวนเอ่ยถามเพราะอยู่ในถ้ำลึกกว่า
     โขมดไพรที่แก่กล้าจำแลงกายได้ คงเป็นวิญญาณของชาวป่าที่ตายไปสิงอยู่”
     เมื่อพระภิกษุทั้งสองมาถึงหมู่บ้าน ชาวบ้านพากันถามเซ็งแซ่ถึงเหตุการณ์บนภูเขาควาย พระอาจารย์ตื้อก็เล่าความจริงให้ฟัง
     “เขาไม่ทำอันตรายหรอก ขอให้ทุกคนตั้งหน้าตั้งตาประพฤติธรรม ทำมาหากินด้วยความสุจริต ธรรมะย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม ต่อไปวิญญาณของโขมดไพรก็จะไม่มากล้ำกรายปรากฏให้เห็น เพราะเขาไปผุดไปเกิดแล้ว”
     ชาวบ้านได้ยินดังนั้นก็ก้มลงกราบ และร่ำลือกันไปว่าวิญญาณของโขมดไพรนั้นได้ถูกพระสองรูปจับเอาไปแล้ว จึงไม่มีใครหวาดกลัวต่อโขมดไพรตัวนั้นอีก นับว่าอาจารย์ตื้อและหลวงปู่แหวนได้ช่วยปัดเป่าความกลัวออกจากหัวใจของชาวบ้านภูเขาควายไปได้

จากหนังสือประวัติอภินิหารพระเครื่อง หลวงปู่แหวนสุจิณโณ

ปีศาจแห่งภูเขาควาย (ตอน 2)


   
หลวงปู่แหวนสุจิณโณจากธรรมะไทย
 
     เสียงดังตุ๊บ...เงาดำทะมึนปรากฏขึ้นที่ปากถ้ำ เงาดำทะมึนนั้นปรากฏสูงใหญ่เคลื่อนไหวได้ ท่านลืมตามองดูด้วยความสนใจว่าสิ่งนั้นคือสัตว์อะไร จากแสงดาวอันเลือนลางลักษณะคล้ายลิงใหญ่ ซึ่งใหญ่กว่าลิงธรรมดาและใหญ่กว่าคนอย่างน้อยหนึ่งเท่าตัว หลวงปู่แหวนก็ลืมตามองดูอยู่เหมือนกันทั้งสองนิ่งเงียบเฝ้ามองดูเงาดำอย่างสนใจ
     มันเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้ากลิ่นสาปสางลอยเข้ามาในถ้ำจนรู้สึกได้ มันเคลื่อนไหวอยู่อย่างนั้นแต่ไม่เข้ามา ฉับพลันก็มีแสงสว่างเขียวปั๊ดสองดวงเคลื่อนไหวไปมาคงจะเป็นลูกตาของสัตว์ประหลาดที่เปล่งออกมาในลักษณะโกธรหรือตกใจ
     เงาดำหยุดนิ่งเพียงแต่ส่งแสงประกายเขียวปั๊ดเข้ามา ต่างฝ่ายต่างมองดูกันด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกันไป อีกฝ่ายหนึ่งอยากรู้แต่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ทราบเจตนา
     “ท่านตื้อ ท่านตื้อ” เสียงของหลวงปู่แหวนดังขึ้นเบา ๆ พระอาจารย์ตื้อรับดังอือ
     “ท่านเห็นแล้ว” หลวงปู่แหวนดังขึ้นอีก
     “เราเห็นแล้ว” พระอาจารย์ตื้อตอบ
     “ทุกข์คืออะไร” หลวงปู่แหวนเอ่ยถาม
     “ชาติปิทุกขา ชราปิทุกขา พยาธิปิทุกขา มรณปิทุกขัง” พระอาจารย์ตื้อตอบตามหลักธรรม ที่ได้รับการสั่งสอนจากพระอาจารย์มั่น เสียงถอนหายใจของหลวงปู่แหวนดังขึ้น
     “เกิด แก่ เจ็บ ตาย ล้วนเป็นทุกข์ วิญญาณนั้นสาหัส ธรรมะเท่านั้นที่จะช่วยให้หลุดพ้นจากการทรมานนั้น ๆ” หลวงปู่แหวนเอ่ยช้า ๆ ชัดถ้อยชัดคำ
     เมื่อจบคำของหลวงปู่แหวน ทั้งสองต่างก็พากันได้ยินเสียงสัตว์ประหลาดกรีดร้องโหยหวน ชวนให้ขนลุกด้วยความสยดสยอง แล้วเงาดำทะมึนนั้นก็หายวับจากไป ป่าก็ระงมไปด้วยเสียงสัตว์กรีดปีกต่อไป

ติดตามตอนต่อไป จากหนังสือประวัติอภินิหารพระเครื่อง หลวงปู่แหวนสุจิณโณ

วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2563

ปีศาจแห่งภูเขาควาย


   
ภูเขาควายภาพจาก soccersuck.com
  
     สูงทะมึนลิบอยู่ข้างหน้าของพระภิกษุสองรูป ซึ่งกำลังเดินธุดงค์แหวกป่าเข้ามาคือ ภูเขาควาย เดิมทีพระภิกษุทั้งสองรูปนี้ไม่ต้องการจะป่ายปีนขึ้นไปสู่ภูเขาที่ทะมึนสูง ทั้งนี้เพราะคำบอกเล่าของชาวป่าว่าบนภูเขาควายนั้น มีภูตผีชาวบ้านไม่กล้าที่จะขึ้นไปหาของป่าและแนะนำท่านทั้งสองว่าไม่ควรจะขึ้นไปเพราะอันตราย
     แต่พระภิกษุทั้งสองต้องการที่จะพิสูจน์ความจริงด้วยตนเอง จึงพากันป่ายปีนขึ้นไปสู่ภูเขาควายแห่งนั้นด้วยความมานะ ต้นไม้ใหญ่ยืนต้นอากาศครึ้มแทบไม่เห็นแสงพระอาทิตย์จะลอดผ่านความหนาทึบของป่าลงมาได้ อากาศก็ชื้นเต็มไปด้วยหนอนแมลงและทาก เกาะจีวรต้องปลดทิ้งอยู่ตลอดทาง
     ไต่ขึ้นไปจนกระทั่งถึงถ้ำแห่งหนึ่ง มีทำเลหลบลมพายุได้ พระอาจารย์ตื้อก็หยุดยั้งอยู่ตรงนั้น หลวงปู่ก็เลือกได้มุมหนึ่งปัดกวาดเสร็จเรียบร้อย ก็พักผ่อนออกมายืนอยู่หน้าผาทอดสายตามองไปรอบ ๆ ไม่เห็นอะไรนอกจากป่าที่มืดทะมึน และเสียงลมที่พัดอื้ออึงเข้ามาหนาวเย็นสะท้าน
     ค่ำนั้นทั้งสององค์ก็นั่งภาวนาหาความวิเวกคนละมุมถ้ำ ด้านนอกเสียงลมพัดอื้ออึงไม่ได้ยินเสียงสัตว์ใด ๆ เงียบสงบนอกจากเสียงลม ทั้งสององค์ไม่พูดไม่จาต่อกัน ต่างฝ่ายนั่งหาความวิเวกเจริญภาวนาต่อไป ความมืดค่อย ๆ โรยตัวลงมาจนกระทั่งดึกสงัด อากาศหนาวเย็น สะท้านแต่พระภิกษุทั้งสองยังนั่งนิ่งเสมือนหนึ่งในถ้ำนั้นปราศจากสิ่งมีชีวิตหลงเหลืออยู่
     แมลงที่ปากถ้ำกรีดปีกส่งเสียงระงม ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งแผ่วมาจากเบื้องล่างเป็นเสียงร้องที่กรีดดังสะท้านป่าโหยหวน ดังแผ่ว ๆ และค่อยดังขึ้น ๆ เสมือนหนึ่งเจ้าของเสียงกำลังเคลื่อนตัวขึ้นมาบนถ้ำ แต่ภายในถ้ำยังคงเงียบสงบอยู่อย่างนั้นไม่มีเสียงใด ๆ
     เสียงโหยหวนนั้นดังใกล้เข้ามา ๆ จวนจะถึงปากถ้ำอยู่แล้ว แมลงที่กรีดเสียงกลับสงบนิ่งป่าทั้งป่าสงบไปด้วยเสียงกรีดร้องนั้นก็พลันเงียบลง แสงอันเลือนลางของแสงดาวสาดเข้ามาจากปากถ้ำ

ติดตามตอนต่อไป จากหนังสือประวัติอภินิหารพระเครื่อง หลวงปู่แหวนสุจิณโณ

วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2563

พระปรกมะขามเฒ่ากับวัดอนงคาราม (ตอนจบ)


     “สมเด็จ” กับ “เสด็จในกรม” ได้ตกลงร่วมกันที่จะประกอบพิธีขึ้นที่วัดอนงคาราม โดยใช้สถานที่ตั้งโรงพิธีทำการพุทธาภิเษก ระหว่างพระอุโบสถกับศาลาการเปรียญ
     โรงพิธีนั้นสร้างเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีราชวัติฉัตรธงทั้ง 4 ทิศ กลางโรงพิธีตั้งเตาสุมทองและหุ่น มีนายช่างรวม 8 คน หัวหน้าชื่อ แจ่ม ช่างหล่อ กับพรรคพวกอีก 7 คน นุ่งขาวห่มขาวแบบตาผ้าขาว หรือชีปะขาว
     ส่วนในพระอุโบสถ ตั้งโต๊ะหมู่บูชาหน้าพระประธาน และตั้งเทียนชัยทางด้านฝาผนังข้างใน ตรงข้ามกับพระประธาน ตั้งโต๊ะสี่เหลี่ยมสำหรับพระสวดภาณวาร 4 รูป รวมพระที่สวดทั้งหมด 12 รูป สวดตลอดสามวันสามคืน โดยผลัดเปลี่ยนกันคราวละรูปไม่ขาดสาย
     กลางพระอุโบสถ มีพระผู้ทรงคุณทางสมถะวิปัสสนา นั่งบริกรรมหนึ่งท่าน คือ พระพรหมมุนีเจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวราราม ซึ่งต่อมาได้รับสถาปนาเป็น สมเด็จพระสังฆราช (แพ)ผู้สร้างพระกริ่งวัดสุทัศน์ฯ อันลือเลื่องที่สุดของพระกริ่งไทย
     รอบนอกของพระอุโบสถในเวลากลางคืนมีพระผู้ทรงคุณวุฒิ นั่งบริกรรม ในกลดทิศละหนึ่งรูป ทั้งแปดทิศ ตลอดสามคืน ในจำนวนนี้มี พระมหาโต๊ะ เปรียญสามประโยค วัดราชบูรณะ กรุงเทพฯ ท่านหนึ่ง นอกนั้นไม่ได้มีการบันทึกไว้
     พระผู้ทรงคุณที่นั่งปรกในพระอุโบสถอีกรูปคือ หลวงพ่อวัดมะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ ชัยนาท
     เมื่อทำพิธีกรรมมาสามวันสามคืนแล้ววันที่สี่เวลาสิบนาฬิกาเช้า พระพรหมมุนีได้มานั่งทำพิธีกลางพระอุโบสถ นั่งบริกรรมอยู่ชั่วโมงเศษ ก็บอกแก่ช่างหล่อว่าได้ฤกษ์เททองได้แล้ว ช่างจึงได้เททองลงในหุ่นครบทุกองค์
     ในขณะนั้นมีพระสงฆ์มาสวดมนต์ในพระอุโบสถประมาณ 61 รูป สวดพระธรรมจักรกัปปวัตนสูตรไปในขณะนั้นด้วย
     สำหรับพระที่สร้าง มีพระพุทธรูปประจำพระองค์เสด็จในกรมหนึ่งองค์ พระประจำหม่อมของเสด็จในกรมหนึ่งองค์ พระประจำพระองค์หม่อมเจ้าเกรียงไกร โอรสของเสด็จในกรมหนึ่งองค์ พระประจำพระองค์หม่อมเจ้าหญิงจงกลนี พระธิดาในกรมหนึ่งองค์ กับได้สร้างพระพุทธรูปเล็กขนาดเท่าปลายนิ้วก้อยอีกหนึ่งร้อยองค์ รวมทั้งพระชัยวัฒน์ ที่เรียกกันในปัจจุบันว่า “พระชัย” ของหม่อมมิตรด้วย ในงานนี้เองก็ได้นำพระปรกใบมะขามเฒ่ามาปลุกเสกด้วย




โดย อ.ศิริวัฒน์ จากหนังสือลานโพธิ์ฉบับที่ 175

วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2563

พระปรกมะขามเฒ่ากับวัดอนงคาราม


   ประวัติการสร้างพระปรกมะขามเฒ่า 

     ในระหว่างปี พ.ศ.2462-2463 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมขุนมรุพงศ์ ศิริพัฒน์ พระราชโอรสในรัชกาลที่ 4 ทรงมีพระราชประสงค์จะสร้างพระพุทธรูปประจำพระองค์ขึ้น จึงเสด็จมาทรงปรึกษากับ สมเด็จพุทธาจารย์ (พุทธสรมหาเถระ นวม) เจ้าอาวาสวัดอนงคาราม ซึ่งเป็นที่ชอบพอไปมาหาสู่กันมาช้านาน ในขณะนั้นท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุทธาจารย์ (นวม) ยังดำรงสมณศักดิ์พระราชาคณะที่ “พระรัชชมงคลมุนี” ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกย่อว่า “สมเด็จ” ส่วนพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมขุนมรุพงศ์ ศิริพัฒน์ จะเรียกย่อ ๆ ว่า “เสด็จในกรม”

พระปรกมะขามเฒ่า 2463

 
พิธีปลุกเสกพระใบมะขามของสมเด็จวัดอนงค์
ติดตามตอนต่อไป โดย อ.ศิริวัฒน์ จากหนังสือลานโพธิ์ฉบับที่ 175

วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2563

บัญชรพระเกจิ 29 03 63

หลวงพ่อโสก วัดปากคลองบางครก เพชรบุรี

ขอบคุณภาพจาก คเณศ์พร มาณ.ที่นี้

บัญชรของขลัง 29 03 63

ตะปูสังฆวานร
พระขรรค์โสฬส
ขอบคุณที่มาเจ้าของภาพซึ่งผมไม่ได้บันทึกไว้มา ณ. ที่นี้ด้วยครับ

พญาครุฑ

ครุฑ (สันสกฤต: गरुड) เป็นสัตว์ในนิยายในประมวลเรื่องปรัมปราฮินดูและปรากฏในวรรณคดีสำคัญหลายเรื่อง เช่น มหาภารตะ เล่าว่า ครุฑเป็นพี่น้องกับนาคแ...